วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุล BIM100 ดูแลสุขภาพโรคข้อเสื่อม โทร 094 709 4444





สร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุล BIM100 ดูแลสุขภาพโรคข้อเสื่อม

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







โรคข้อเข่าเสื่อม



เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุโดยพบในเพศหญิงบ่อยกว่าชาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะพบแพทย์ด้วยอาการปวดเข่าเป็นสำคัญ บางคนอาจจะมาด้วยอาการเดินลำบาก ข้อติดมีเสียงดัง บางคนก็ไม่ปวดมากจะปวดเฉพาะเวลาขึ้นหรือลงบันไดหรือนั่งยองๆ หรือนั่งนานแล้วจะลุกเท่านั้น สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของผิวข้อเนื่องจากการใช้งานมาก และเนื่องจากความชราภาพ แต่บางครั้งก็พบในคนไข้ที่อายุน้อย ซึ่งเคยมีประวัติจากการบาดเจ็บของข้อเข่านั้นมาก่อน เช่น เอ็นไขว้ขาด หรือหมอนรองเข่าฉีกขาด หรือกระดูกหักเข้าข้อ หรือบางคนเกิดจากลูกสะบ้าเอียงก็เป็นสาเหตุได้



โรคข้อเข่าเสื่อม จะเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ก็มีวิธีช่วยชลอความเสื่อมดังกล่าวให้ช้าลง จนมีอาการดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาแก้ปวดอักเสบของข้อ การใช้ยาบำรุงผิวข้อ การฉีดยาเข้าข้อ การส่องกล้องล้างข้อ และผิวข้อ หรือแม้แต่การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมในวิธีต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในการรักษาของแพทย์ตามความรุนแรงของโรค และอายุของผู้ป่วย











การผ่าตัดเปลี่ยนข้อ เข่าเทียมแบบแผลเล็ก

เข้ามาช่วย โดยหลีกเลี่ยงการตัดกล้ามเนื้อเหนือลูกสะบ้า รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์ผิวข้อเข่าเทียมที่ได้รับมาตรฐานด้านคุณภาพเข้ามาช่วย ทำให้สามารถลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัด แบบมาตรฐาน รวมถึงช่วยให้ระยะเวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง เพียง 1 วันหลังรับการผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถเดินโดยใช้ไม้พยุงช่วย จากนั้นก็จะเดินขึ้นและลงบันไดได้ในระยะเวลา 2 สัปดาห์ รวมถึงรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดจะมีขนาดสั้นเพียง 3-4 นิ้ว นอกจากจากนั้นข้อเข่าเทียมที่เราใช้ยังเป็นข้อเทียมชนิดงอได้มากและตัวรับ น้ำหนักสามารถเคลื่อนไหวได้ ซึ่งจะมีผลทำให้อายุของข้อสามารถใช้งานได้นานขึ้น ยังคงการเดินที่ปกติ ไม่แตกต่างจากข้อปกติมากเกินไป



ข้อดีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบแผลเล็ก

-ลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ

-รอยแผลเป็นหลังผ่าตัดสั้นเพียง 3-4 นิ้ว

-เสียเลือดน้อยกว่า และเจ็บปวดน้อยกว่า

-หลังการผ่าตัด 1 วัน สามารถเดินลงน้ำหนักโดยใช้ไม้พยุงช่วย

-ใช้เวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลน้อยกว่า

บิมร้อยน้ำมังคุด สร้างภูมิคุ้มกัน ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง โทร 094 709 4444





บิมร้อยน้ำมังคุด สร้างภูมิคุ้มกัน ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







โรคมะเร็ง คืออะไร





มะเร็ง คือ กลุ่มของโรค ที่เกิดจากการที่เซลล์แบ่งตัวอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะที่ DNA หรือสารพันธุกรรมส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต และมีการแบ่งตัว เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์รวดเร็ว และมากกว่าปกติ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม และไม่อยู่ในการควบคุมของร่างกาย อีกทั้งยังเติบโตรุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียง  หรืออาจจะแพร่กระจายไปยังที่อื่นๆ ได้อีกด้วย ในที่สุดก็จะทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง ถ้าเซลล์พวกนี้ เกิดอยู่ในอวัยวะใด ก็จะเรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยะนั้น เช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น เราอาจจะพูดได้ว่า มะเร็ง ก็คือ “เนื้อร้าย” ซึ่งต่างจาก “เนื้องอก” ดังนั้น มะเร็งทั้งหมด ยกเว้นมะเร็งเม็ดเลือดขาว จะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อร้าย





มะเร็งกำเนิดขึ้นมาจากเซลล์ของร่างกาย ที่สามารถแบ่งเซลล์ ได้วิวัฒนาการจนไม่สามารถควบคุมได้ มิหนำซ้ำมันยังมีกระบวนการวิวัฒนาการ โดยเปลี่ยนแปลงโครโมโซมนั้นๆ ทำให้ผลิตเอนไซม์มาสร้างทีโลเมีย ในเซลล์อย่างไม่หมดสิ้น ทำให้เซลล์ไม่สามารถหยุดแบ่งเซลล์ได้ จนทำให้เติบโต โดยไม่สามารถควบคุมหยุดยั้งได้





มะเร็งก้อนเดียวกันในคนๆ เดียวกัน ก็ยังมีอัตราการเจริญเติบโตไม่เท่ากัน มะเร็งบางชนิดมีการแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มเป็น










เมื่อร่างกายมีเนื้อร้ายที่มีการเจริญเติบโต อยู่นอกเหนือการควบคุมของร่างกาย และมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดเป็นก้อน หรือเป็นแผลมะเร็งขนาดใหญ่ ลักษณะการโตของก้อนมะเร็ง จะเป็นแบบแทรกซ้อน หรือมีส่วนยื่นเข้าไปในเนื้อเยื่อ ปกติโดยรอบเหมือนขาปู ดังนั้น สัญลักษณ์ของมะเร็ง จึงมักจะใช้รูปปูเป็นเครื่องหมายการแทรกซึมของเนื้อร้ายเช่นนี้ จะไปทำลายเนื้อเยื่อปกติที่อยู่ใกล้เคียงเป็นอย่างมาก ลักษณะที่สำคัญของมะเร็งก็คือ เซลล์มะเร็งจากมะเร็งปฐมภูมิ (ขั้นแรก) สามารถจะแพร่กระจายไปได้ทั่วร่างกาย และไปเกิดขึ้นใหม่ เป็นมะเร็งทุติยภูมิ (ขั้นที่สอง) ตรงส่วนอื่นของร่างกายที่อยู่ห่างไกลออกไปได้อีกด้วย





มะเร็งแต่ละชนิด จะมีความรุนแรงแตกต่างกัน อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เฉพาะระหว่างมะเร็งนั้นๆ กับตัวผู้ป่วย โดยตรงเองอีกด้วย มะเร็งก้อนเดียวกันในคนๆ เดียวกัน ก็ยังมีอัตราการเจริญเติบโตไม่เท่ากัน มะเร็งบางชนิดมีการแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มเป็น เช่น มะเร็งปอด เป็นต้น นอกจากนี้ มะเร็งแต่ละชนิดก็มักจะแพร่กระจายไปเฉพาะอวัยวะบางอวัยวะเท่านั้น เช่น มะเร็งเต้านม มักจะแพร่กระจายไปที่กระดูก หรือตับมากกว่าอวัยวะอื่นๆ เป็นต้น





ในทางการแพทย์ จะแบ่งความรุนแรงของมะเร็งตามการจำแนกลักษณะของเซลล์มะเร็ง เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ออกเป็น 4 ขั้น นั่นก็คือ ตั้งแต่ขั้นที่มีการจำแนกลักษณะของเซลล์ชัดเจน ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงน้อย จนกระทั่งถึงขั้นที่ 4 โดยในขั้นนี้ เซลล์จะไม่มีการจำแนกลักษณะเลย ซึ่งมีความรุนแรงมาก

บิมร้อย น้ำมังคุด ลดน้ำตาลในเลือด ดูแลสุขภาพโรคเบาหวาน โทร 088 826 4444




บิมร้อย น้ำมังคุด ลดน้ำตาลในเลือด ดูแลสุขภาพโรคเบาหวาน

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/22

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife






โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus: DM, Diabetes) เป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนขึ้น


โรคเบาหวาน



จากข้อมูลของสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation, IDF) พบผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกราว 415 ล้านคนในปี 2558 และคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากถึง 642 ล้านคนในปี 2583 สำหรับสถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทยพบว่า คนไทยช่วงอายุ 20-79 ปี เป็นโรคเบาหวานร้อยละ 7.1 หรือหมายความว่า ในจำนวนคน 100 คน จะพบคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประมาณ 7 คน และจำนวนมากกว่าครึ่งไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน สถิติการพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ต้องมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องถึงภัยร้ายของโรค เพราะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนลุกลามใหญ่โตจนต้องสูญเสียอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ และองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลก เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้



ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลในเลือด หากผลการตรวจหลังงดอาหารและเครื่องดื่มมีน้ำตาลอยู่กระแสเลือดไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติ ทั้งนี้ระดับน้ำตาลในเลือดยังบ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ด้วย (Prediabetes) ซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเป็นเบาหวานสามารถพัฒนาการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2  (เบาหวานที่เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้) โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองในอนาคตได้ง่ายขึ้น












อาการของโรคเบาหวาน


โรคเบาหวานในระยะแรกจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจตรวจพบโรคเบาหวานเมื่อพบภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว อาการของโรคเบาหวานแต่ละชนิดอาจมีความคล้ายกัน ซึ่งอาการที่พบส่วนใหญ่ คือ กระหายน้ำมาก ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลดหรือเพิ่มผิดปกติ สายตาพร่ามัว เห็นภาพไม่ชัด รู้สึกเหนื่อยง่าย  มีอาการชา โดยเฉพาะมือและขา บาดแผลหายยาก เป็นต้น ทั้งนี้ อาการของโรคเบาหวานประเภทที่ 1 จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะแสดงอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักเกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 24-28 สัปดาห์



สาเหตุของโรคเบาหวาน


โรคเบาหวานมีหลายประเภท สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ เบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes) เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้ หรือเกิดภาวะการดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เป็นโรคเบาหวานที่พัฒนาขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์จากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน โดยที่ผู้ป่วยไม่เคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน และเบาหวานจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การใช้ยา หรือเกิดจากโรคชนิดอื่น



การวินิจฉัยโรคเบาหวาน



แพทย์จะสอบถามอาการผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยของผู้ป่วยและของบุคคลในครอบครัว และการตรวจร่างกาย และที่สำคัญต้องอาศัยการตรวจเลือด เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหลัก โดยมีวิธีการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือดหลายวิธี ได้แก่



การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ (Random/Casual Plasma Glucose Test)

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose: FPG)

การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1c: HbA1c)

การทดสอบการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT)

หากผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีสาเหตุ การตรวจด้วยวิธีทั้งหมดข้างต้นจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน


โรคเบาหวานเป็นโรคที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ หากไม่มีการควบคุมในเรื่องของการรับประทานอาหารและดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อเส้นเลือดที่นำสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะในร่างกายจนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั้งโรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดเล็ก (microvascular complications) เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคไต หรือโรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดใหญ่ (macrovascular complications) เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน รวมไปถึงโรคแทรกซ้อนที่ระบบประสาทและที่สามารถทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียอวัยะบางส่วน นอกจากนี้สตรีมีครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ การแท้งบุตรได้

ดูแลสุขภาพโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร โทร 08...





ดูแลสุขภาพโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร 

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife






มะเร็งต่อมลูกหมาก...อย่ารอจนสายเกินไป



"มะเร็งต่อมลูกหมากมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก หากมีอาการ หมายถึง มะเร็งได้ลุกลามแล้ว...อย่ารอจนสาย การป้องกันที่ดีคือการตรวจสุขภาพเพศชายทุกปี โดยเฉพาะคุณผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป"



วันนี้คุณสำรวจตัวเองหรือยัง...

>> ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน

>> เวลาเริ่มปัสสาวะจะลำบาก

>> ปัสสาวะไม่พุ่ง

>> เวลาปัสสาวะจะปวด

>> อวัยวะเพศแข็งตัวยาก

>> เวลาหลั่งเมื่อถึงจุดสุดยอดจะปวด

>> มีเลือดในน้ำเชื้อหรือปัสสาวะ

หากมีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ควรพบแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะ เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด



ลักษณะของต่อมลูกหมาก

- ลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง (Rectum) และใต้ท่อกระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder) ต่อมลูกหมากจะหุ้มรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น ทำให้ปัสสาวะไหลผ่านกลางต่อมลูกหมาก (Prostatic urethra) ในผู้ชายแข็งแรงทั่วไปลักษณะรูปร่างของต่อมลูกหมากคล้ายลูกเกาลัด

- นอกจากนี้ต่อมลูกหมากมีหน้าที่สร้างสารน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ และเป็นส่วนประกอบของน้ำเลี้ยงอสุจิที่ช่วยให้ตัวอสุจิมีการเคลื่อนที่ออกมาระหว่างมีการหลั่ง

- ฮอร์โมนเพศชาย (androgen) เป็นสารที่ทำให้ต่อมลูกหมากมีขนาดโตขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเพศชายนี้ส่วนใหญ่สร้างมาจากอัณฑะและบางส่วนสร้างมาจากต่อมหมวกไต

- ต่อมลูกหมากจะโตสัมพันธ์กับอายุของมนุษย์เพศชาย ซึ่งเราจะพบได้ว่าในชายสูงอายุจะมาด้วยเรื่องปัสสาวะลำบาก ซึ่งเกิดจากต่อมลูกหมากโตเบียดท่อทางเดินปัสสาวะให้แคบลง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

• ในปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่ามะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากอะไร เรายังไม่สามารถบอกได้ว่าบางคนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ในขณะที่อีกคนไม่เป็น

• มีการศึกษาพบว่ามีองค์ประกอบบางอย่างที่มีผลต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

1. อายุ: เราพบโรคนี้ในคนสูงอายุส่วนใหญ่มากกว่า 65 ปี ในอายุต่ำกว่า 45 ปี เราพบน้อยมาก

2. ประวัติครอบครัว: ถ้ามีพ่อ, พี่ชาย หรือน้องชาย เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากขึ้น

3. เชื้อชาติ: มะเร็งต่อมลูกหมากพบมากในคนแอฟริกันมากกว่าคนผิวขาว แต่จะพบได้น้อยในคนเอเชีย

4. มีเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงในต่อมลูกหมาก: เราจะพบว่าในจำนวนมาก high-grade prostatic intraepithelial neoplasia (PIN) จะพบว่าอาจทำให้พบมะเร็งต่อมลูกหมากสูงขึ้น

5. อาหาร: มีการศึกษารายงานออกมาว่าการกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์มาก มีโอกสาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าพวกกินอาหารจำพวกพืชผัก











อาการ

- คนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะไม่มีอาการอะไรเลย แต่ในกลุ่มบุคคลที่มีอาการอาจจะมีอาการดังนี้

- อาการทางปัสสาวะ

1. ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้

2. ปัสสาวะต้องเบ่งนาน และปัสสาวะขัด

3. ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน

4. ปัสสาวะอ่อนแรง

5. อาจมีอาการปวด แสบ ระหว่างการถ่ายปัสสาวะ

- มีปัญหาต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศ

- มีเลือดปนในปัสสาวะหรือปนกับอสุจิ

- อาจพบได้ว่ามีอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างหรือต้นขา

- ส่วนใหญ่แล้วมีโรคหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวข้างต้น โดยที่ไม่ใช่มะเร็ง เช่น ต่อมลูกหมากโต, ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ผู้ป่วยชายคนใดที่มีอาการดังกล่าว ควรบอกแพทย์เพื่อทำการสืบหาโรคต่อไป

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

1. การซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดโดยแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะ (Physical Examination by Urologist) โดยการตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนัก (Digital Rectal Exam - DRE)

2. การตรวจปัสสาวะเพื่อหาว่ามีเลือดหรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urine Analysis)

3. การตรวจเลือดเพื่อตรวจสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก (PSA)

4. การตรวจอัลตราซาวด์ต่อมลูกหมากทางทวารหนัก (Transrectal Ultrasonography) สามารถเห็นต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะและตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก (Prostate Biopsy)

5. การส่องกล้องดูภายในกระเพาะปัสสาวะและต่อมลูกหมาก (Cystoscopy)

การรักษา

1. การผ่าตัดต่อมลูกหมากออกทั้งหมด (Radical Prostatectmy) เป็นการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อเอาต่อมลูกหมากที่เป็นมะเร็งรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด

2. การผ่าตัดโดยใช้กล้อง (Laparoscopic radical Prost) เป็นการผ่าตัดโดยใช้กล้องเพื่อเอาต่อมลูกหมากที่เป็นมะเร็งรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด

3. การตัดต่อมลูกหมากโดยการส่องกล้องผ่านอวัยวะเพศ (Transurethral Resection of the Prostate - TURP) เป็นการตัดชิ้นเนื้อเพื่อให้ปัสสาวะไหลคล่อง

4. การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy) คือการใช้ยาต้านมะเร็ง ซึ่งสามารถผ่านไปถึงทุกส่วนของร่างกายเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยมีแผนกเคมีบำบัด ภายใต้การดูแลของทีมสหสาขาวิชาชีพด้านการรักษาโรคมะเร็ง

5. การรักษาด้วยการควบคุม Hoemone เพศชาย

เคล็ดลับดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก BIM100 น้ำมังคุด โทร 08...





เคล็ดลับดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก BIM100 น้ำมังคุด

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







มะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมลูกหมาก (ภาษาอังกฤษ : Prostate cancer) คือ เซลล์ในต่อมลูกหมากที่โตผิดปกติขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นก้อนมะเร็งและแพร่กระจายอยู่ในต่อมลูกหมาก ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด (แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่ออก หรือปัสสาวะมีเลือดปนได้) แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษาเซลล์ที่ผิดปกติดังกล่าวจะเจริญเติบโตและลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบ ๆ ต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ปอด และตับ ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา และทำให้เสียชีวิตได้






มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่พบได้มากในผู้ชาย โดยมักพบได้ในผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป (พบได้บ่อยในผู้ชายอายุเฉลี่ยประมาณ 70 ปี ส่วนในช่วงอายุ 40-60 ปี อาจพบได้แต่น้อย) ในสหรัฐอเมริกาพบคนเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้สูงถึง 70-80% เมื่ออายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ทั่วโลกพบมะเร็งต่อมลูกหมากได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งในผู้ชายทั้งหมดรองจากมะเร็งปอด โดยในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2551 พบผู้ป่วยใหม่เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้สูงถึง 186,000 ราย และจากสถิติล่าสุดในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ.2557 คาดว่าจะพบผู้ป่วยใหม่เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้มากถึง 233,000 คน หรือคิดเป็น 24% ของมะเร็งทั้งหมด ส่วนในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2544-2546 พบผู้ป่วยเป็นโรคนี้ 5.5 ราย ต่อประชากร 100,000 คน



หมายเหตุ : ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) คือ อวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์และระบบปัสสาวะของเพศชาย มีหน้าที่ในการสร้างน้ำหล่อลื่นที่อยู่ในน้ำอสุจิและช่วยปกป้องสารพันธุกรรม (DNA) ของอสุจิ จึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย โดยอวัยวะนี้จะอยู่ในส่วนลึกบริเวณโคนของอวัยวะเพศชายในช่องท้องน้อย อยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (ด้านหน้าติดกับกระเพาะปัสสาวะ ส่วนด้านหลังติดกับลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ดังนั้น ในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงมักตรวจผ่านทางอวัยวะทั้งสองนี้) ตัวต่อมจะแบ่งออกเป็น 2 ซีก และมีท่อปัสสาวะอยู่ตรงกลาง







สาเหตุของมะเร็งต่อมลูกหมาก

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่



ผู้สูงอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากก็ยิ่งสูงขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะพบโรคนี้ได้มากในผู้ชายสูงอายุที่มีอายุ 50-60 ปีขึ้นไป (อายุโดยเฉลี่ยคือประมาณ 70 ปี และพบว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยนั้นจะมีอายุมากกว่า 65 ปี)

พันธุกรรม ผู้ที่มีพ่อหรือพี่น้อง (บุคคลในครอบครัวสายตรง) เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 3 เท่า ส่วนการมีญาติผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมก็อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้สูงขึ้นเช่นกัน

เชื้อชาติ เพราะพบโรคนี้ได้มากในกลุ่มชายชาวตะวันตกทั้งในยุโรปและอเมริกา ในขณะที่ชาวเอเชียจะพบได้น้อยกว่า (พบได้สูงสุดในชายชาวสแกนดิเนเวีย และพบได้ต่ำสุดในชายชาวเอเชีย)

อาหาร โรคนี้อาจมีความสัมพันธ์กับการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่ให้พลังงานสูง และอาหารจำพวกเนื้อแดงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริโภคผักและผลไม้น้อย

การสูบบุหรี่ พบว่ามีการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้เล็กน้อย แต่ยังต้องมีการศึกษาต่อไป

การมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ในเลือดสูง เช่น จากการใช้ฮอร์โมนชนิดนี้เป็นเวลานาน ๆ

ความอ้วน เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้จะพบได้มากในคนอ้วน และมักจะเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงและรักษาได้ยากกว่าคนที่ไม่อ้วน (มีงานวิจัยพบว่า มะเร็งต่อมลูกหมากอาจเชื่อมโยงกับการเป็นโรคอ้วน และอาจเพิ่มความรุนแรงของโรคและส่งผลให้ยากต่อการรักษา)

ต่อมลูกหมากอักเสบ มีการศึกษาว่า ต่อมลูกหมากอักเสบอาจเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งลูกหมาก แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม

การทำหมันชาย ก่อนหน้านี้พบว่า ผู้ที่ทำหมันก่อนอายุ 35 ปีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ได้มากกว่าผู้ที่ไม่ทำหมัน แต่การศึกษาในปัจจุบันไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว

อาการของมะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งชนิดนี้มักลุกลามช้า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักไม่มีอาการแสดง (อาจตรวจพบได้โดยบังเอิญจากการไปตรวจเช็กสุขภาพ) แต่เมื่อมะเร็งขยายตัวมากขึ้นเป็นก้อนโตจนไปกดทับท่อปัสสาวะก็จะทำให้เกิดอาการผิดปกติของการขับถ่ายปัสสาวะแบบเดียวกับโรคต่อมลูกหมากโต (BPH) ได้ คือ



เกิดอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก ติดขัด ทำให้ต้องออกแรงเบ่งหรือรอนานกว่าจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้ ทำให้ใช้เวลาในการถ่ายปัสสาวะนาน





ปัสสาวะไม่พุ่งเป็นลำ ลำปัสสาวะเบี้ยว แผ่ว หรือเล็กลง

มีความรู้สึกเหมือนถ่ายปัสสาวะไม่สุด

ปัสสาวะบ่อย ห่างกันไม่ถึง 1-2 ชั่วโมง เมื่อมีความรู้สึกเวลาปวดปัสสาวะจะต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที (โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนจะปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ทำให้หลังเข้านอนต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะบ่อย ๆ หรือปัสสาวะราด)

เมื่อเป็นมากขึ้นผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะไม่ออก รู้สึกปวดปัสสาวะ ปวดตึงท้องน้อย บางรายอาจมีอาการถ่ายปัสสาวะเป็นเลือดหรือมีเลือดออกปนมากับน้ำอสุจิ เนื่องจากการเบ่งถ่ายนาน ๆ ทำให้หลอดเลือดดำที่ท่อปัสสาวะคั่งแล้วแตกมีเลือดออก (ในรายที่ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด อาจเกิดจากเนื้องอกของทางเดินปัสสาวะหรือนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้)

BIM100 รู้ทันโรคตาเสื่อม ดูแลสุขภาพก่อนนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น โทร 0...





BIM100 รู้ทันโรคตาเสื่อม ดูแลสุขภาพก่อนนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife






จอประสาทตาเสื่อม โรคร้ายแรงที่สามารถรักษาได้





ตา จัดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เพราะเมื่อใดที่สูญเสียหรือเสื่อมสภาพลงไป ก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิตตามมา ซึ่งการที่คนเราจะเห็นภาพอะไรได้ชัดเจนนั้น เป็นเพราะการที่เรามองสิ่งต่างๆ และสามารถเดินทางเข้าไปสู่ในลูกตา โดยต้องผ่านส่วนต่างๆ ของดวงตา คือ กระจกตาและเลนส์แก้วตา และไปตกอยู่ที่จอประสาท ซึ่งเป็นผนังตาชั้นในที่มีเซลล์สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก ที่จะส่งผลไปสู่เส้นประสาทตา และนำไปสู่สมอง ทำให้คนเราสามารถมองเห็นได้ และทำกิจกรรมต่างๆ ได้  เช่นการอ่านหนังสือ ดูหนัง ขับรถ หรือแม้แต่การพบปะผู้คน ทักทายผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งในส่วนกลางรับภาพของจองประสาทตาเรียกว่า macula เป็นหนึ่งจุดที่มีความสำคัญมากที่สุด ถ้าเกิดเสื่อมสภาพลง จะทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน เหมือนมีจุดดำเข้ามาแทรกในการมองเห็น มองภาพบิดเบี้ยวไปจากที่เคย ก่อให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นของภาพระยะใกล้หรือระยะไกลไป จนดำเนินชีวิตได้ลำบากขึ้น ซึ่งในการรักษาจอประสาทตาเสื่อม จะมีรูปแบบการรักษาถึง 2 วิธี ดังนี้





1.การรักษาด้วยแสงเลเซอร์



ในการเป็นโรคจอประสารทตาเสื่อมแบบเปียก จะสามารถเข้ารักษาได้ด้วยวิธีการฉายแสงเลเซอร์ จะทำหน้าที่ในการยับยั้งหรือช่วยชะลอเส้นเลือดที่ผิดปกติ ที่ทำให้มีเลือดออกในจอประสาทตา โดยการฉายเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่มีพยาธิสภาพอยู่ ซึ่งในการรักษาวิธีนี้อาจจะไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดได้ แต่จะเป็นการรักษาให้การมองเห็นไม่แย่กว่าที่เคย และคงสภาพการมองเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ให้แย่ลงไปอีก ซึ่งในปัจจุบันการรักษาด้วยแสงเลเซอร์มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ





Laser Photocoagulation เป็นการฉายเลเซอร์ที่ก่อให้เกิดความร้อน ที่จะสามารถเข้าไปยับยั้งการลุกลามของเส้นเลือดผิดปกติภายใต้จอประสาทตาได้

Photodynamic therapy เป็นการรักษาที่ประกอบไปด้วยการฉีดยาเข้าไปทางเส้นเลือดให้ไหลไปตามกระแสเลือด และทำหน้าที่ในการจับตัวเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างผิดปกติบริเวณผนังจอประสาทตา จากนั้นจึงทำการฉายเลเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนไปยังจุดที่ต้องการรักษา

2.การรักษาแบบผ่าตัด



เป็นการผ่าตัดน้ำวุ้นตา , จอประสาทตา เพื่อเป็นการทำลายเส้นเลือดที่ผิดปกติภายใต้ผนังจอประสาทตา รวมทั้งแก้ไขปัญหาแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโรค เช่น ภาวะเลือดออกใต้จอประสาทตา ถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย เพราะหลังการรักษาจะทำให้มองเห็นลดลง

BIM100 น้ำมังคุด สมุนไพรดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444






BIM100 น้ำมังคุด สมุนไพรดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







วุ้นในลูกตาเสื่อม อันตรายที่คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน (emaginfo)



          ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ บางคนต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน ก็เลยทำให้หนุ่มสาววัยทำงาน เริ่มเป็นกันมากขึ้น



          โรควุ้นในตาเสื่อมเป็นโรคที่มักจะเกิดกับผู้มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันกลับพบโรคนี้ในวัยหนุ่มสาวคนทำงานออฟฟิศกันมากขึ้นจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าโรควุ้นในตาเสื่อมเป็นหนึ่งในโรค office syndrome โดยตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์


 วุ้นในตาเสื่อม กับความเสี่ยงที่มากขึ้น



          ในคนที่เป็นโรคอาการวุ้นในตาเสื่อม เวลาลืมตาจะเห็นเป็นคราบดำ ๆ เหมือนหยากไย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก โดยจะเห็นชัดก็ต่อเมื่อมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาว ๆ ฝาห้องขาว ๆ ฝาห้องน้ำขาว ๆ จะเห็นเป็นคราบดำ ๆ ลอยไปลอยมา



          ในบางคน อาจมีอาการมากกว่านั้นคือ ประสาทตาฉีกขาด จะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ซึ่งอาการนี้น่ากลัวมาก ๆ และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิมจะตาบอดหรือไม่



โรควุ้นในตาเสื่อม



 สาเหตุของโรค



          การใช้สายตามากเกินไป หรือเพ่งจอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นเวลานาน คือสาเหตุของโรควุ้นในตาเสื่อม



          แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามาก ๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมาก ๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะเล่นอินเทอร์เน็ต หรือเล่นคอมพิวเตอร์ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต









          ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าไม่ว่าคุณจะเล่นเน็ต, เล่นเกม, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่าน หนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาเสียได้ทั้งสิ้น



          เพราะถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดา ๆ ระยะห่างระหว่างลูกตากับตัวหนังสือจะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่



          แต่ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุด ๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป อย่าลืมว่าจอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ



          ดังนั้นจึงทำให้การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ



          แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุก ๆ จึงทำให้ปวดตามาก ๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุก ๆ นั้นไปตลอด



          นอกจากนี้ยังรวมถึงการพิมพ์ตัวหนังสือ ที่บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามาก ๆ





 เป็นโรควุ้นตาเสื่อมทำอย่างไร



          ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทไม่เป็นอันตราย: ภาวะนี้เป็นภาวะที่ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา แต่ควรสังเกตตัวเอง หากมีภาวะดังต่อไปนี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ เพราะมักเกิดจากสาเหตุที่ทำให้เกิดวุ้นตาเสื่อมประเภทอันตราย



           1. จุดลอยดังกล่าวมีจุดใหม่ลอยมากขึ้น



           2. มีแสงระยับคล้ายแสงแฟลช (Flash)



           3. สายตามัวลง



           4. มีอาการคล้ายมีม่านบังดวงตาเป็นแถบ ๆ



          ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทมีอันตราย ควรปฏิบัติตามจักษุแพทย์ และพยาบาลจักษุแนะนำอย่างเคร่งครัด รวมทั้งต้องดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุให้ได้ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น

BIM100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคข้อเสื่อม โทร 094 709 4444





BIM100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคข้อเสื่อม 

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife






โรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม คือ ภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเข่า มีการสึกหรอและเสื่อมอย่างช้าๆและจะ เป็นมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด มีเสียงดังในเข่า เข่าผิดรูปไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง ปัญหาปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ง่าย

สาเหตุหลักๆ ได้แก่

1. เป็นผลจากความเสื่อม และการใช้เข่าที่ไม่ถูกต้องมานาน

2. ความอ้วน น้ำหนักตัวมากๆ ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น

3. เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณเข่ามาก่อน เช่น กระดูกบริเวณเข่าหัก, ข้อเข่าเคลื่อนหลุด, เส้นเอ็นฉีกขาด หรือหมอนรองเข่าฉีกขาด

4. โรคข้ออักเสบ เช่น โรคเก๊าท์ หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น







อาการเริ่มแรกที่เตือนให้รู้ว่าเข่ากำลังมีปัญหา

เจ็บปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจเป็นปวดแบบเมื่อยๆ พอทน ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือในรายที่เข่าได้รับบาดเจ็บ จะปวดแบบเฉียบพลันและปวดรุนแรง

เข่าบวม เข่าที่บวมทันทีภายหลังจากได้รับบาดเจ็บ มักเกิดจากมีเลือดออกภายในข้อเข่า บวมที่เกิดขึ้นช้าๆ มักเกิดจากมีความผิดปกติขององค์ประกอบภายในข้อเอง

เข่าอ่อนหรือเข่าสะดุดติด อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากมีบางสิ่งบางอย่างภายในข้อ ทำให้งอ หรือเหยียดเข่าในทันทีทันใดไม่ได้ เช่น เส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนที่ฉีกขาด หรือเศษกระดูกที่หยุดอยู่ในข้อ

เข่าฝืดหรือยึดติด อาจเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน นั่งนานๆ แล้วลุกขึ้น หรือเกิดขึ้นภายหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า

เมื่อปรากฎอาการดังกล่าวแล้วแสดงว่า ท่านเริ่มมีปัญหาของข้อเข่า ควรให้ความสนใจอย่างจริงจัง และพิจารณาดูว่า มีอะไรเป็นสาเหตุดังกล่าว จะเป็นต้องเริ่มต้นฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อของข้อเข่าให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะให้หลักประกันได้ว่า ท่านจะสามารถยืนและเดินอยู่บนขา และเข่าของตนเองได้ตลอดไป














วันที่ 3 วิธีป้องกันและการปฏิบัติ

- ควบคุมไม่ให้อ้วนเกินไป โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย

- บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นให้แข็งแรง (วิธีการบริหารดูในการออกกำลังกาย)

- ลดการใช้งานข้อนั้นในท่าที่ผิดจากธรรมชาติ เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ คุกเข่าและการนั่งขัดสมาธินานเกินไป เป็นต้น

- ขณะที่มีอาการปวด ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะอักเสบของข้อ แล้วเริ่มทำกายภาพบำบัดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

- อาการปวดเริ่มแรกสามารถบรรเทาด้วยยาแก้ปวดพาราเซตามอล, การใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบจะช่วยลดการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ ขณะที่มีอาการปวดอยู่ควรหลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินมาก ถ้าเดินควรใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเวลาเดินและใส่สนับเข่าเพื่อช่วยให้ข้อเข่ากระชับ

- ควรหลีกเลี่ยงการนั่งกับพื้น เช่น การนั่งพับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิและนั่งยองๆ ควรนั่งเก้าอี้ห้อยขา หรือนั่งเหยียดขาตรง อย่านั่งนานๆ ควรเปลี่ยนอริยาบถบ่อยๆ และควรใช้โถส้วมแบบนั่งแทนแบบนั่งยองๆ

- ลดน้ำหนักเพื่อลดแรงกดกระแทกที่ข้อเข่าเวลาเดินหรือยืน

- บริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าอย่างสม่ำเสมอ

- ถ้าอาการไม่ทุเลาควรปรึกษาแพทย์



อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบในผู้ป่วยสูงอายุ แต่ผู้ป่วยที่มีโรคข้อเรื้อรังเช่นโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ หรือผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ข้อเข่า ก็อาจจะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมในขณะที่อายุยังไม่มาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นข้อเสื่อมได้มากกว่าผู้ชาย เนื่องจาก ความ แข็ง แรงของกระดูกและกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย อาการที่สำคัญได้แก่ อาการปวดเข่า เป็นอาการ ที่สำคัญเริ่มแรกจะ ปวดเมื่อยตึงทั้ง ด้าน หน้าและด้านหลังของเข่าหรือบริเวณน่อง เมื่อเป็นมากขึ้นจะปวดบริเวณเข่าเมื่อมีการเคลื่อนไหว ลุกนั่งหรือเดินขึ้นบันได ไม่คล่อง เหมือนเดิม

• มีเสียงในข้อ เมื่อเคลื่อนไหวผู้ป่วยจะรู้สึกมีเสียงในข้อและปวดเข่า

• อาการบวม ถ้าข้อมีการอักเสบก็จะเกิดข้อบวม

ข้อเข่าโก่งงอ อาจจะโก่งด้านนอกหรือโก่งด้านใน ทำให้ขาสั้นลงเดินลำบากและมีอาการปวดเวลาเดิน

• ข้อเข่ายึดติด ผู้ป่วยจะไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้สุดเหมือนเดิมเนื่องจากมีการยึดติดภายในข้อ

BIM100 กระตุ้นเม็ดเลือดขาว ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง โทร 094 709 4444





BIM100 กระตุ้นเม็ดเลือดขาว ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







มะเร็งคืออะไร

มะเร็งคือ เซลล์ที่ผิดปกติ โดยที่เซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตแผ่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อดี ที่อยู่รอบด้านจนถึงอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบ ทำให้อวัยวะนั้น ๆ ทำหน้าที่เสียไป นอกจากนี้แล้วยังกระจายเจ้าหลอดน้ำเหลือง และหลอดโลหิตไปอยู่ที่อวัยวะอื่นอีกเช่น ปอด, ตับ, กระดูก และสมอง ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ จึงถือเป็นเซลล์เนื้อร้ายหรือที่เรียกกันว่ามะเร็ง





มะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไร

ในปัจจุบันนี้สาเหตุที่จริงยังไม่ทราบแน่นอน แต่เชื่อกันว่ามีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ เช่น เชื้อไวรัส, สารเคมีบางอย่าง, แสงแดดล ตัวพยาธิบางชนิด, แผลอักเสบเรื้อรัง ฯลฯ

ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเป็นมะเร็งได้ต่างกันอย่างไร

ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเป็นมะเร็วได้เท่า ๆ กัน แต่ผู้ชายเป็นมะเร็งมากในช่วงที่อายุสูงกว่าผู้หญิง คือผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป มีเพียงร้อยละ 78.83 ในขณะที่ผู้ชายมีมากถึงร้อยละ 83.77 มะเร็งที่เป็นมากในผู้ชายคือ มะเร็งปอด, ตับ, กล่องเสียง ช่องปาก ส่วนผู้หญิงเป็นมะเร็งของคอมดลูก, เต้านม,ปอดและหลอดลม มากตามลำดับเฉพาะในประเทศไทย



จะทราบได้อย่างไรว่าเริ่มเป็นมะเร็ง

 มะเร็งในระยะแรกเริ่มนั้นปกติจะไม่มีอาการ ฉะนั้น จึงต้องมีการตรวจร่างกายบ่อย ๆ ถึงแม้จะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้หญิงซึ่งเป็นมะเร็งคอมดลูกสูงมาก จึงจำเป็นต้องตรวจภายในอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป และตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละ 1 ครั้ง ในวันที่ 8 ของประจำเดือน

นอกจากนี้ต้องสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายมี 7 อย่างดังนี้คือ

แผลที่เรื้อรังมานาน ๆ รักษาไม่หาย ไม่ว่าจะเป็นแผลที่ผิวหนัง, กระพุ้งแก้ม, ลิ้น

มีก้อนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ที่นม, ผิวหนังในปาก, บริเวณทวารหนัก

มีการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือหูด เช่นมีขนาดโตผิดปกติ สีเข้มขั้น หรือสีจางลง รูปร่างเปลี่ยน นูนขึ้น มีแผล เสลดทีน้ำเหลืองหรือเลือดออก

มีเลือดหรือน้ำเหลืองออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตกขา หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด ถ้าปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด เป็นต้น

ท้องอืด เบื่ออาหาร กลืนลำยาก และผอมลง

เสียงแหบและไอที่หาสาเหตุไม่ได้

การเปลี่ยนแปลงในการถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติวิสัย เช่นท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือเป็นเลือด

ถ้ามีอาการดังกล่าว อย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้นจะต้องไปให้แพทย์ตรวจร่างกายโดยละเอียดทันที













5. โรคมะเร็ง มีการป้องกันได้อย่างไร

ยังป้องกันโดยตรงไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่อาจป้องกันสาเหตุร่วมที่จะทำให้เป็นมะเร็งได้ เช่นในช่องปาก ควรรักษาความสะอาดให้ดี ฟันผุเรื้อรังควรถอนรักษา, ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสมต้องแก้ไข งดกินหมาก อมเมี่ยง, งดบุหรี่, เหล้า, งดอาหารที่มีเชื้อรา เป็นต้น



6. มะเร็งรักษาให้หายได้หรือไม่

มะเร็งในระยะแรกเริ่มคือเป็นน้อย ๆ อาจรักษาให้หายขาดได้ เช่น มะเร็วผิวหนัง, เต้านม, คอมดลูก ลำไส้ ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ไปหาแพทย์เพื่อรักษานั้น เป็นมาก คือในระยะสุดท้ายของโรค แพทย์ได้ทำการรักษาให้จึงไม่หรือหรือหายชั่วคราวไม่หายขาดทำให้ประชาชนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นมะเร็งแล้วรักษาไม่หายต้องตายเสมอไป



7. การักษาโรคมะเร็งมีวิธีใดบ้าง

การรักษาโรคมะเร็งมีหลักดังนี้

1. ในระยะเริ่มเป็น

ผ่าตัดออกให้หมด

การฉายแสง, ใส่แร่เรเดียม หรือจะต้องทำทั้ง 2 อย่าง

2. ในระยะเป็นมาก การรักษาต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น

การผ่าตัดแล้วตามด้วยรังสีรักษา (การฉายแสง)

ให้แสงรังสีรักษาก่อน ตามด้วยการผ่าตัด

ให้เคมีบำบัด (ยา) นำไปก่อนแล้วตามด้วยผ่าตัด

ให้เคมีบำบัด (ยา) นำไปก่อนแล้วตามด้วยการฉายแสง





แล้วแต่แพทย์จะเป็นผู้ตัดสิน ว่าจะใช้วิธีการอย่างไร ถ้าเป็นมากการรักษาโดยวิธีผ่าตัดอย่างเดียว, ฉายแสงอย่างเดียว หรือรักษาด้วยยาอย่างเดียว จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร คืออาการหายจะมีน้อย ฉะนั้นจึงต้องรักษาด้วยวิธีการทั้ง 3 อย่างร่วมกันคือทำผ่าตัด, ฉายแสง และอาจให้ยา หรือผ่าตัดให้ยาต่อแล้วแต่กรณี แต่จะมีมะเร็งบางชนิดที่ได้ผลต่อยาดีมากคือ มะเร็งเม็ดเลือด, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งของรังไข่ ฯลฯ ฉะนั้น ถ้าเป็นมะเร็งในระยะเป็นมากท่านจะต้องปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำจึงจะมีโอกาสหาย มิใช่ท่านเป็นผู้เลือกวิธีการรักษาเอง



8. หลังจากการรักษาโรคมะเร็งแล้วท่านจะต้องปฏิบัติอย่างไร

เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์แล้ ไม่ว่าโดยวิธีใดท่านจะต้องกลับไปรับการตรวจกับแพทย์เป็นระยะ ๆ ตามที่แพทย์แนะนำเพื่อติดตามผลการรักษา หากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้รักษาต่อให้ทันเวลา

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

บิมร้อย น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444





บิมร้อย น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







วุ้นในลูกตาเสื่อม อันตรายที่คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน (emaginfo)



          ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ บางคนต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน ก็เลยทำให้หนุ่มสาววัยทำงาน เริ่มเป็นกันมากขึ้น



          โรควุ้นในตาเสื่อมเป็นโรคที่มักจะเกิดกับผู้มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันกลับพบโรคนี้ในวัยหนุ่มสาวคนทำงานออฟฟิศกันมากขึ้นจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าโรควุ้นในตาเสื่อมเป็นหนึ่งในโรค office syndrome โดยตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์


 วุ้นในตาเสื่อม กับความเสี่ยงที่มากขึ้น



          ในคนที่เป็นโรคอาการวุ้นในตาเสื่อม เวลาลืมตาจะเห็นเป็นคราบดำ ๆ เหมือนหยากไย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก โดยจะเห็นชัดก็ต่อเมื่อมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาว ๆ ฝาห้องขาว ๆ ฝาห้องน้ำขาว ๆ จะเห็นเป็นคราบดำ ๆ ลอยไปลอยมา



          ในบางคน อาจมีอาการมากกว่านั้นคือ ประสาทตาฉีกขาด จะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ซึ่งอาการนี้น่ากลัวมาก ๆ และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิมจะตาบอดหรือไม่



โรควุ้นในตาเสื่อม



 สาเหตุของโรค



          การใช้สายตามากเกินไป หรือเพ่งจอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นเวลานาน คือสาเหตุของโรควุ้นในตาเสื่อม



          แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามาก ๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมาก ๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะเล่นอินเทอร์เน็ต หรือเล่นคอมพิวเตอร์ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต



          ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าไม่ว่าคุณจะเล่นเน็ต, เล่นเกม, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่าน หนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น










          เพราะถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดา ๆ ระยะห่างระหว่างลูกตากับตัวหนังสือจะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่



          แต่ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุด ๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป อย่าลืมว่าจอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ



          ดังนั้นจึงทำให้การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ



          แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุก ๆ จึงทำให้ปวดตามาก ๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุก ๆ นั้นไปตลอด



          นอกจากนี้ยังรวมถึงการพิมพ์ตัวหนังสือ ที่บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามาก ๆ





 เป็นโรควุ้นตาเสื่อมทำอย่างไร



          ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทไม่เป็นอันตราย: ภาวะนี้เป็นภาวะที่ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา แต่ควรสังเกตตัวเอง หากมีภาวะดังต่อไปนี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ เพราะมักเกิดจากสาเหตุที่ทำให้เกิดวุ้นตาเสื่อมประเภทอันตราย



           1. จุดลอยดังกล่าวมีจุดใหม่ลอยมากขึ้น



           2. มีแสงระยับคล้ายแสงแฟลช (Flash)



           3. สายตามัวลง



           4. มีอาการคล้ายมีม่านบังดวงตาเป็นแถบ ๆ



          ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทมีอันตราย ควรปฏิบัติตามจักษุแพทย์ และพยาบาลจักษุแนะนำอย่างเคร่งครัด รวมทั้งต้องดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุให้ได้ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น



  วิธีชะลอการเสื่อมของวุ้นตา



           1. มีบางรายงานแนะนำใช้ยาประเภทบำรุงร่างกายเป็นวิตามิน/อาหารประเภทสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ (Antioxidant) แต่ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่าได้ผลจริง โดยทั่วไปการรับประทานอาหารครบทุกหมู่ (อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในปริมาณเหมาะสมที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน) นำมาซึ่งร่างกายแข็งแรงน่าจะเพียงพอ



           2. ไม่สูบบุหรี่ งด/เลิกบุหรี่เมื่อสูบอยู่



           3. มีการออกกำลังกายที่พอดีกับสุขภาพสม่ำเสมอ



           4. หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่จะส่งผลถึงดวงตา



           5. หากมีโรคทางกายเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ต้องควบคุมให้ดี

สาเหตุโรคตาเสื่อม BIM100 เคล็ดลับดูแลสุขภาพ โทร 094 709 4444





สาเหตุโรคตาเสื่อม BIM100 เคล็ดลับดูแลสุขภาพ

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife






จอประสาทตาเสื่อม โรคร้ายแรงที่สามารถรักษาได้





ตา จัดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เพราะเมื่อใดที่สูญเสียหรือเสื่อมสภาพลงไป ก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิตตามมา ซึ่งการที่คนเราจะเห็นภาพอะไรได้ชัดเจนนั้น เป็นเพราะการที่เรามองสิ่งต่างๆ และสามารถเดินทางเข้าไปสู่ในลูกตา โดยต้องผ่านส่วนต่างๆ ของดวงตา คือ กระจกตาและเลนส์แก้วตา และไปตกอยู่ที่จอประสาท ซึ่งเป็นผนังตาชั้นในที่มีเซลล์สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก ที่จะส่งผลไปสู่เส้นประสาทตา และนำไปสู่สมอง ทำให้คนเราสามารถมองเห็นได้ และทำกิจกรรมต่างๆ ได้  เช่นการอ่านหนังสือ ดูหนัง ขับรถ หรือแม้แต่การพบปะผู้คน ทักทายผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งในส่วนกลางรับภาพของจองประสาทตาเรียกว่า macula เป็นหนึ่งจุดที่มีความสำคัญมากที่สุด ถ้าเกิดเสื่อมสภาพลง จะทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน เหมือนมีจุดดำเข้ามาแทรกในการมองเห็น มองภาพบิดเบี้ยวไปจากที่เคย ก่อให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นของภาพระยะใกล้หรือระยะไกลไป จนดำเนินชีวิตได้ลำบากขึ้น ซึ่งในการรักษาจอประสาทตาเสื่อม จะมีรูปแบบการรักษาถึง 2 วิธี ดังนี้






1.การรักษาด้วยแสงเลเซอร์



ในการเป็นโรคจอประสารทตาเสื่อมแบบเปียก จะสามารถเข้ารักษาได้ด้วยวิธีการฉายแสงเลเซอร์ จะทำหน้าที่ในการยับยั้งหรือช่วยชะลอเส้นเลือดที่ผิดปกติ ที่ทำให้มีเลือดออกในจอประสาทตา โดยการฉายเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่มีพยาธิสภาพอยู่ ซึ่งในการรักษาวิธีนี้อาจจะไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดได้ แต่จะเป็นการรักษาให้การมองเห็นไม่แย่กว่าที่เคย และคงสภาพการมองเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ให้แย่ลงไปอีก ซึ่งในปัจจุบันการรักษาด้วยแสงเลเซอร์มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ



Laser Photocoagulation เป็นการฉายเลเซอร์ที่ก่อให้เกิดความร้อน ที่จะสามารถเข้าไปยับยั้งการลุกลามของเส้นเลือดผิดปกติภายใต้จอประสาทตาได้

Photodynamic therapy เป็นการรักษาที่ประกอบไปด้วยการฉีดยาเข้าไปทางเส้นเลือดให้ไหลไปตามกระแสเลือด และทำหน้าที่ในการจับตัวเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างผิดปกติบริเวณผนังจอประสาทตา จากนั้นจึงทำการฉายเลเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนไปยังจุดที่ต้องการรักษา

2.การรักษาแบบผ่าตัด



เป็นการผ่าตัดน้ำวุ้นตา , จอประสาทตา เพื่อเป็นการทำลายเส้นเลือดที่ผิดปกติภายใต้ผนังจอประสาทตา รวมทั้งแก้ไขปัญหาแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโรค เช่น ภาวะเลือดออกใต้จอประสาทตา ถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย เพราะหลังการรักษาจะทำให้มองเห็นลดลง

สาเหตุโรคข้อเข่าเสื่อม แนวทางดูแลสุขภาพ BIM100 อาหารเสริมสมุนไพร โทร 094...





สาเหตุโรคข้อเข่าเสื่อม แนวทางดูแลสุขภาพ BIM100 อาหารเสริมสมุนไพร

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







โรคข้อเสื่อม



     โรคข้อเสื่อมหมายถึงโรคที่มีความผิดปกติที่กระดูกอ่อนผิวข้อและกระดูกบริเวณใกล้ข้อ มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนผิวข้อทั้งทางด้านรูปร่าง ทางด้านโครงสร้างทางด้านชีวะเคมี และทางด้านชีวะพลศาสตร์   กระดูกอ่อนผิวข้อจะบางลงทำให้การทำงานของกระดูกอ่อนผิวข้อเสียไปเช่น

-หน้าที่ในด้านการกระจายแรงที่มาผ่านข้อเสียไป

-หน้าที่ในการให้กระดูกเคลื่อนผ่านกันอย่างนุ่มนวลเสียไปทำให้เกิดเสียง  เวลาเคลื่อนไหว-มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกที่อยู่ใกล้ข้อเช่นมีกระดูกงอกออกทางด้านข้างของข้อ (maginal osteophyte)

-กระดูกใต้ต่อกระดูกอ่อนมีการหนาตัวขึ้น ทำให้เกิดอาการต่างๆของข้อ   เช่น ปวดข้อ ข้อฝืด  ข้อแข็ง มีเสียงดังที่ข้อเวลาที่ข้อมีการเคลื่อนไหว

-องศาของการเคลื่อนไหวของข้อลดลงข้อโตขึ้นถ้าไม่ได้รับการรักษา  อย่างถูกต้องจะเกิดการพิการตามมา เช่น ข้อหลวมข้อโก่ง ข้อบิดเบี้ยว รูปร่างของข้อผิดไป



2. สาเหตุของโรคข้อเสื่อม



โรคข้อเสื่อมมีสาเหตุได้ต่างๆกันผู้ป่วยบางรายอาจมีหลายองค์ประกอบในการทำให้เกิดโรค องค์ประกอบทำให้เกิดโรคองค์ประกอบเหล่านี้บางอย่างสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็จะไม่ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมหรือช่วยชะลอการเกิดให้ช้าลง องค์ประกอบของการเกิดโรคได้แก่

2.1  อายุ

เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ในการศึกษาการระบาดวิทยาพบว่า ยิ่งอายุมากขึ้นจะยิ่งพบอุบัติการโรคข้อเสื่อมมาก แต่อาการปวดและความ  พิการไม่จำเป็นต้องเป็นมากขึ้นตามอายุ โดยเมื่ออายุมากขึ้นกระดูกอ่อนผิวข้อมีความทนต่อแรงกดลดลงตามลำดับ จากที่มีการเปลี่ยนแปลงของสารที่อยู่ในกระดูกอ่อนผิวข้อ เช่น โปรตีนโอกลัยแคน คอลลาเจนและการทำงานของเซลล์กระดูกอ่อน (chondrocyte cells) นอกจากนี้  ประสาทส่วนปลายเมื่ออายุมากขึ้นจะทำงานลดลง ซึ่งจากการทดลองพบว่าถ้าเส้นประสาทที่มาเลี้ยงข้อเสียไปจะมีผลทำให้โรคข้อเสื่อมเร็วขึ้น   จากการที่ไม่สามารถจัดให้มีแรงผ่านของข้อได้อย่างถูกต้อง แรงหรือ   น้ำหนักที่ผ่านข้อที่ลงที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไปจะทำให้ตำแหน่งนั้นมี การเสียหายและทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมต่อมาได้ ดังนั้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นประสาทส่วนปลายทำงานลดลง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โรคข้อเสื่อมเกิดได้เร็วขึ้น












2.2. พันธุกรรมและโรคเมตาโบลิซึม

โรคข้อเสื่อมพบบ่อยในรายที่มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของกระดูกอ่อนผิวข้อ (cartilage matrix)ผู้ป่วยที่เป็นโรคที่มีผลึกไปฝังตัวในกระดูกอ่อนผิวข้อจะทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่มีการเกิดผลึก โรคที่ทำให้เกิดมีการฝังตัวของผลึกในกระดูกอ่อนผิวข้อและทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้ ได้แก่ โรคเก๊าท์  โรคเก๊าท์เทียม  ฮีโมโครมาโตซีส (hemochromatosis) โรควิลสัน (Wilson's disease)  และโรคข้อจากโอโครโนทิส (ochronotic arthropathy) โดยพบมีผลึกของกรดยูเรต (monosodium urate) ผลึกของแคลเซี่ยมไพโรฟอสเฟต (calcium pyrophosphate dihydrate) ผลึกฮีโมสิเดอริน (hemosiderin) ทองแดงกรดโฮโมเจนทิสิทโพลีเมอร์ (homogentisic acid polymers) มาฝังตัวในกระดูกผิวข้อและมีผลทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมโดยมีผลโดยตรงต่อกระดูกอ่อนผิวข้อ ในการทำงานขององค์ประกอบต่างๆที่มีในข้อหรือมีผลทำให้กระดูกอ่อนผิวข้อแข็งขึ้น  กว่าปกติทำให้การรับการส่งแรงที่มากระทบเปลี่ยนแปลงไป



2.3 การเปลี่ยนแปลงในเมตาโบลิซึมของการทำงานของเซลกระดูกอ่อน

การทำงานของเซลกระดูกอ่อนในคนปกติแตกต่างจากคนที่เป็นโรคข้อเสื่อม เป็นภาวะทางพันธุกรรมไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่ภาวะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นเองหรือมีตัวมากระตุ้นแล้วทำให้เกิดข้อเสื่อมยังไม่ชัดเจน



2.4 การได้รับบาดเจ็บของข้อ (truama)

การกระดูกหักหรือการบาดเจ็บอันมีผลต่อการเคลื่อนไหวของข้อซ้ำๆหลายครั้งโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องผลสุดท้ายจะทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้  ตัวอย่างลูกสะบ้าเคลื่อนหลุดจากตำแหน่งบ่อยๆ การหลุดของหัวกระดูกสะโพกบ่อยๆการมรแรงกระทำซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าจะมีผลต่อข้อ โดยทำให้มีการแข็งขึ้นของกระดูกที่อยู่ใต้ต่อกระดูกอ่อน (subchondral bone) และมีผลต่อการฉีกขาดเสียหายของกระดูกอ่อนผิวข้อมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปแรงที่ส่งผ่านข้อ





นอกจากน้ำหนักตัวในตำแหน่งข้อที่เกี่ยวกับการรับน้ำหนักแล้วยังมีแรงที่เป็นผลจากกล้ามเนื้อทำงานหดตัวในขณะร่างกายเคลื่อนไหว ในคนปกติ  ขณะเดินจะมีแรงผ่านข้อเข่าประมาณ 4-5 เท่าของน้ำหนักตัว ในการนั่งยองๆ แรงจะเพิ่มเป็น 10 เท่าของน้ำหนักตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระดูกอ่อน  ต้องทำหน้าที่รับแรงดังกล่าว อาชีพที่ทำให้มีแรงผ่านข้อมากผิดปกติ เช่นคนงานขุดถนนที่ใช้สว่านขุดเจาะถนน หรือในนักกีฬา ในขณะที่มีแรงผ่านข้อมากถ้าโครงสร้างภายในกระดูกอ่อนผิวข้อรับไม่ไหวจะเกิดมีการทำลายของโครงสร้างของกระดูกอ่อนและทำให้การกระจายแรงที่ผ่านข้อเสียไป  ขณะเดียวกันกระดูกที่อยู่ใต้ต่อกระดูกอ่อน ก็จะมีการแตกหักแบบเล็กๆ ขบวนการซ่อมแซมของร่างกายอันได้แก่ การสร้างกระดูกมาแทนที่ (callus formation) และจัดตัวใหม่ของกระดูกภายหลังกระดูกหัก (remodeling) ผลการซ่อมแซมใหม่ทำให้กระดูกแข็งขึ้นทำให้การกระจายแรงก็จะแย่ไปด้วยจะมีผลให้แรงลงที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินกว่าปกติและทำให้เกิดโรคข้อเสื่อม

สร้างภูมิสมดุล เม็ดเลือดขาว ดูแลโรคมะเร็ง BIM100น้ำมังคุด โทร 094 709 4444





สร้างภูมิสมดุล เม็ดเลือดขาว ดูแลโรคมะเร็ง BIM100น้ำมังคุด

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







โรคมะเร็ง รู้ทัน....ไม่อันตราย

เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันนี้เราพบมะเร็งที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์มากกว่า 100 ชนิด และโรคมะเร็งยังคงเป็นโรคที่ท้าทายวงการแพทย์มากที่สุด เพราะเป็นโรคที่ทำการรักษายากและยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคมะเร็งได้ จนทำให้กลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากเป็นอันดับต้นๆ ของคนไทย



                โรคมะเร็งเป็นโรคที่ไม่ติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง แต่เป็นโรคที่อาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้  แล้วมะเร็งคืออะไร... มะเร็งคือกลุ่มของโรคที่เกิดจากเซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายมีความผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการแบ่งตัวแบบกระจายอย่างรวดเร็ว ในที่สุดจะทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อ เนื่องจากขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ถ้าเซลล์ลุกลามหรือเกิดขึ้นในอวัยวะใดก็จะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะนั้น







รู้ก่อนปลอดภัย ป้องกัน...ก่อนภัยเงียบมาถึงตัว



                การเกิดโรคมะเร็งเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อนที่ยังไม่อาจระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้ โดยมีปัจจัยเสี่ยง อาทิ การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบางชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบบี จากสารเคมีและสารก่อมะเร็ง อาทิ นิเกิล โครเมี่ยม ดินปะสิว รวมถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของบุคคลในครอบครัว



                ผู้หญิงหลายร้อยคนที่ไม่รู้....และผู้หญิงหลายร้อยคนที่รู้...แต่ละเลย ทำให้มีสถิติเป็นมะเร็งสูงมากขึ้น มะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิงคือ มะเร็งที่เกิดขึ้นกับระบบสืบพันธุ์ อาทิ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและอาจจะรวมถึงมะเร็งเต้านม ซึ่งนับเป็นภัยเงียบที่รุนแรงต่อชีวิตของผู้หญิง และเป็นเรื่องที่ผู้หญิงควรให้ความสนใจในการเฝ้าระวัง รวมถึงหมั่นสังเกตความผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ดังนี้












                มะเร็งปากมดลูก มักพบบ่อยในผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรือมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่อายุยังน้อย มีลูกหลายคน มีคู่นอนหลายคน สูบบุหรี่ โดยมีอาการที่ควรสังเกต คือ มีเลือดออกแบบผิดปกติทางช่องคลอด มีตกขาวผิดปกติและมีกลิ่นแรง



                มะเร็งรังไข่ มักพบบ่อยในผู้หญิงที่อายุระหว่าง 40-60 ปี โดยมีอาการที่ควรสังเกต คือ อาการท้องผูก แน่นท้อง เบื่ออาหาร คลำพบก้อนที่ท้อง



                มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มักพบมากในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือผู้หญิงที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยมีอาการที่ควรสังเกต คือ มีเลือกออกผิดปกติทางช่องคลอด โดยเฉพาะในช่วงวัยที่หมดประจำเดือนแล้ว



                มะเร็งเต้านม มักพบมากในผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุยังน้อย หรือมีลูกคนแรกตอนอายุมากกว่า 30 ปี รับประทานอาหารที่มีไขมันมากและดื่มแอลกอฮอลล์จัด โดยมีอาการที่ควรสังเกต คือ มีก้อนที่เต้านม มีเลือด น้ำเหลืองไหลออกจากหัวนม







                มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด...หากรู้ตัวเร็วสักนิด ทุกชีวิตจะรักษาได้



ควรรับการตรวจภายในและเช็คมะเร็งปากมดลูกทุกปี เพื่อหาความผิดปกติ เพราะโรคมะเร็งใดๆ หากตรวจพบในระยะเริ่มต้นนั้น โอกาสรักษาให้หายก็มีมากขึ้นนอกจากนี้การตรวจเต้านมด้วยตนเอง  ก็อาจจะช่วยให้พบมะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก ทำให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

BIM100 อาหารเสริมสมุนไพรช่วยโรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444





BIM100 อาหารเสริมสมุนไพรช่วยโรคตาเสื่อม

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







วุ้นในลูกตาเสื่อม อันตรายที่คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน (emaginfo)



          ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ บางคนต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน ก็เลยทำให้หนุ่มสาววัยทำงาน เริ่มเป็นกันมากขึ้น



          โรควุ้นในตาเสื่อมเป็นโรคที่มักจะเกิดกับผู้มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันกลับพบโรคนี้ในวัยหนุ่มสาวคนทำงานออฟฟิศกันมากขึ้นจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าโรควุ้นในตาเสื่อมเป็นหนึ่งในโรค office syndrome โดยตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์



 วุ้นในตาเสื่อม กับความเสี่ยงที่มากขึ้น



          ในคนที่เป็นโรคอาการวุ้นในตาเสื่อม เวลาลืมตาจะเห็นเป็นคราบดำ ๆ เหมือนหยากไย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก โดยจะเห็นชัดก็ต่อเมื่อมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาว ๆ ฝาห้องขาว ๆ ฝาห้องน้ำขาว ๆ จะเห็นเป็นคราบดำ ๆ ลอยไปลอยมา



          ในบางคน อาจมีอาการมากกว่านั้นคือ ประสาทตาฉีกขาด จะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ซึ่งอาการนี้น่ากลัวมาก ๆ และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิมจะตาบอดหรือไม่


โรควุ้นในตาเสื่อม



 สาเหตุของโรค



          การใช้สายตามากเกินไป หรือเพ่งจอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นเวลานาน คือสาเหตุของโรควุ้นในตาเสื่อม



          แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามาก ๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมาก ๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะเล่นอินเทอร์เน็ต หรือเล่นคอมพิวเตอร์ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต



          ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าไม่ว่าคุณจะเล่นเน็ต, เล่นเกม, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่าน หนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น












          เพราะถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดา ๆ ระยะห่างระหว่างลูกตากับตัวหนังสือจะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่



          แต่ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุด ๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป อย่าลืมว่าจอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ



          ดังนั้นจึงทำให้การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ



          แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุก ๆ จึงทำให้ปวดตามาก ๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุก ๆ นั้นไปตลอด



          นอกจากนี้ยังรวมถึงการพิมพ์ตัวหนังสือ ที่บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามาก ๆ





 เป็นโรควุ้นตาเสื่อมทำอย่างไร



          ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทไม่เป็นอันตราย: ภาวะนี้เป็นภาวะที่ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา แต่ควรสังเกตตัวเอง หากมีภาวะดังต่อไปนี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ เพราะมักเกิดจากสาเหตุที่ทำให้เกิดวุ้นตาเสื่อมประเภทอันตราย



           1. จุดลอยดังกล่าวมีจุดใหม่ลอยมากขึ้น



           2. มีแสงระยับคล้ายแสงแฟลช (Flash)



           3. สายตามัวลง



           4. มีอาการคล้ายมีม่านบังดวงตาเป็นแถบ ๆ



          ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทมีอันตราย ควรปฏิบัติตามจักษุแพทย์ และพยาบาลจักษุแนะนำอย่างเคร่งครัด รวมทั้งต้องดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุให้ได้ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น



  วิธีชะลอการเสื่อมของวุ้นตา



           1. มีบางรายงานแนะนำใช้ยาประเภทบำรุงร่างกายเป็นวิตามิน/อาหารประเภทสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ (Antioxidant) แต่ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่าได้ผลจริง โดยทั่วไปการรับประทานอาหารครบทุกหมู่ (อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในปริมาณเหมาะสมที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน) นำมาซึ่งร่างกายแข็งแรงน่าจะเพียงพอ



           2. ไม่สูบบุหรี่ งด/เลิกบุหรี่เมื่อสูบอยู่



           3. มีการออกกำลังกายที่พอดีกับสุขภาพสม่ำเสมอ



           4. หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่จะส่งผลถึงดวงตา



           5. หากมีโรคทางกายเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ต้องควบคุมให้ดี

BIM100 อาหารเสริมสมุนไพร ดูแลสุขภาพโรคเบาหวาน ข้อเสื่อม โทร 094 709 4444





BIM100 อาหารเสริมสมุนไพร ดูแลสุขภาพโรคเบาหวาน ข้อเสื่อม

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/22

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus: DM, Diabetes) เป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนขึ้น



โรคเบาหวาน



จากข้อมูลของสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation, IDF) พบผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกราว 415 ล้านคนในปี 2558 และคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากถึง 642 ล้านคนในปี 2583 สำหรับสถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทยพบว่า คนไทยช่วงอายุ 20-79 ปี เป็นโรคเบาหวานร้อยละ 7.1 หรือหมายความว่า ในจำนวนคน 100 คน จะพบคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประมาณ 7 คน และจำนวนมากกว่าครึ่งไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน สถิติการพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ต้องมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องถึงภัยร้ายของโรค เพราะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนลุกลามใหญ่โตจนต้องสูญเสียอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ และองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลก เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้



ในปัจจุบัน ประเทศไทยยึดหลักเกณฑ์ตามสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในการจำแนกผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยการตรวจปริมาณน้ำตาลในเลือด หากผลการตรวจหลังงดอาหารและเครื่องดื่มมีน้ำตาลอยู่กระแสเลือดไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติ ทั้งนี้ระดับน้ำตาลในเลือดยังบ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ด้วย (Prediabetes) ซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเป็นเบาหวานสามารถพัฒนาการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2  (เบาหวานที่เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้) โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองในอนาคตได้ง่ายขึ้น










อาการของโรคเบาหวาน


โรคเบาหวานในระยะแรกจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจตรวจพบโรคเบาหวานเมื่อพบภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว อาการของโรคเบาหวานแต่ละชนิดอาจมีความคล้ายกัน ซึ่งอาการที่พบส่วนใหญ่ คือ กระหายน้ำมาก ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลดหรือเพิ่มผิดปกติ สายตาพร่ามัว เห็นภาพไม่ชัด รู้สึกเหนื่อยง่าย  มีอาการชา โดยเฉพาะมือและขา บาดแผลหายยาก เป็นต้น ทั้งนี้ อาการของโรคเบาหวานประเภทที่ 1 จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะแสดงอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักเกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 24-28 สัปดาห์



สาเหตุของโรคเบาหวาน


โรคเบาหวานมีหลายประเภท สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ เบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes) เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้ หรือเกิดภาวะการดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เป็นโรคเบาหวานที่พัฒนาขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์จากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน โดยที่ผู้ป่วยไม่เคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน และเบาหวานจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การใช้ยา หรือเกิดจากโรคชนิดอื่น



การวินิจฉัยโรคเบาหวาน



แพทย์จะสอบถามอาการผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยของผู้ป่วยและของบุคคลในครอบครัว และการตรวจร่างกาย และที่สำคัญต้องอาศัยการตรวจเลือด เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหลัก โดยมีวิธีการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือดหลายวิธี ได้แก่



การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ (Random/Casual Plasma Glucose Test)

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose: FPG)

การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1c: HbA1c)

การทดสอบการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT)

หากผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีสาเหตุ การตรวจด้วยวิธีทั้งหมดข้างต้นจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย

BIM100 อาหารเสริมสมุนไพร ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444





BIM100 อาหารเสริมสมุนไพร ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







จอประสาทตาเสื่อม โรคร้ายแรงที่สามารถรักษาได้





ตา จัดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เพราะเมื่อใดที่สูญเสียหรือเสื่อมสภาพลงไป ก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิตตามมา ซึ่งการที่คนเราจะเห็นภาพอะไรได้ชัดเจนนั้น เป็นเพราะการที่เรามองสิ่งต่างๆ และสามารถเดินทางเข้าไปสู่ในลูกตา โดยต้องผ่านส่วนต่างๆ ของดวงตา คือ กระจกตาและเลนส์แก้วตา และไปตกอยู่ที่จอประสาท ซึ่งเป็นผนังตาชั้นในที่มีเซลล์สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก ที่จะส่งผลไปสู่เส้นประสาทตา และนำไปสู่สมอง ทำให้คนเราสามารถมองเห็นได้ และทำกิจกรรมต่างๆ ได้  เช่นการอ่านหนังสือ ดูหนัง ขับรถ หรือแม้แต่การพบปะผู้คน ทักทายผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งในส่วนกลางรับภาพของจองประสาทตาเรียกว่า macula เป็นหนึ่งจุดที่มีความสำคัญมากที่สุด ถ้าเกิดเสื่อมสภาพลง จะทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน เหมือนมีจุดดำเข้ามาแทรกในการมองเห็น มองภาพบิดเบี้ยวไปจากที่เคย ก่อให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นของภาพระยะใกล้หรือระยะไกลไป จนดำเนินชีวิตได้ลำบากขึ้น ซึ่งในการรักษาจอประสาทตาเสื่อม จะมีรูปแบบการรักษาถึง 2 วิธี ดังนี้







1.การรักษาด้วยแสงเลเซอร์



ในการเป็นโรคจอประสารทตาเสื่อมแบบเปียก จะสามารถเข้ารักษาได้ด้วยวิธีการฉายแสงเลเซอร์ จะทำหน้าที่ในการยับยั้งหรือช่วยชะลอเส้นเลือดที่ผิดปกติ ที่ทำให้มีเลือดออกในจอประสาทตา โดยการฉายเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่มีพยาธิสภาพอยู่ ซึ่งในการรักษาวิธีนี้อาจจะไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดได้ แต่จะเป็นการรักษาให้การมองเห็นไม่แย่กว่าที่เคย และคงสภาพการมองเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ให้แย่ลงไปอีก ซึ่งในปัจจุบันการรักษาด้วยแสงเลเซอร์มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ



Laser Photocoagulation เป็นการฉายเลเซอร์ที่ก่อให้เกิดความร้อน ที่จะสามารถเข้าไปยับยั้งการลุกลามของเส้นเลือดผิดปกติภายใต้จอประสาทตาได้

Photodynamic therapy เป็นการรักษาที่ประกอบไปด้วยการฉีดยาเข้าไปทางเส้นเลือดให้ไหลไปตามกระแสเลือด และทำหน้าที่ในการจับตัวเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างผิดปกติบริเวณผนังจอประสาทตา จากนั้นจึงทำการฉายเลเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนไปยังจุดที่ต้องการรักษา

2.การรักษาแบบผ่าตัด



เป็นการผ่าตัดน้ำวุ้นตา , จอประสาทตา เพื่อเป็นการทำลายเส้นเลือดที่ผิดปกติภายใต้ผนังจอประสาทตา รวมทั้งแก้ไขปัญหาแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโรค เช่น ภาวะเลือดออกใต้จอประสาทตา ถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย เพราะหลังการรักษาจะทำให้มองเห็นลดลง

อาหารเสริมสมุนไพร BIM100 อาการโรคข้อเสื่อม วิธีดูแลสุขภาพ โทร 088 826 4444





อาหารเสริมสมุนไพร BIM100 อาการโรคข้อเสื่อม วิธีดูแลสุขภาพ

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife






โรคข้อเข่าเสื่อม



เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุโดยพบในเพศหญิงบ่อยกว่าชาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะพบแพทย์ด้วยอาการปวดเข่าเป็นสำคัญ บางคนอาจจะมาด้วยอาการเดินลำบาก ข้อติดมีเสียงดัง บางคนก็ไม่ปวดมากจะปวดเฉพาะเวลาขึ้นหรือลงบันไดหรือนั่งยองๆ หรือนั่งนานแล้วจะลุกเท่านั้น สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของผิวข้อเนื่องจากการใช้งานมาก และเนื่องจากความชราภาพ แต่บางครั้งก็พบในคนไข้ที่อายุน้อย ซึ่งเคยมีประวัติจากการบาดเจ็บของข้อเข่านั้นมาก่อน เช่น เอ็นไขว้ขาด หรือหมอนรองเข่าฉีกขาด หรือกระดูกหักเข้าข้อ หรือบางคนเกิดจากลูกสะบ้าเอียงก็เป็นสาเหตุได้



โรคข้อเข่าเสื่อม จะเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ก็มีวิธีช่วยชลอความเสื่อมดังกล่าวให้ช้าลง จนมีอาการดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาแก้ปวดอักเสบของข้อ การใช้ยาบำรุงผิวข้อ การฉีดยาเข้าข้อ การส่องกล้องล้างข้อ และผิวข้อ หรือแม้แต่การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมในวิธีต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในการรักษาของแพทย์ตามความรุนแรงของโรค และอายุของผู้ป่วย










การผ่าตัดเปลี่ยนข้อ เข่าเทียมแบบแผลเล็ก

เข้ามาช่วย โดยหลีกเลี่ยงการตัดกล้ามเนื้อเหนือลูกสะบ้า รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์ผิวข้อเข่าเทียมที่ได้รับมาตรฐานด้านคุณภาพเข้ามาช่วย ทำให้สามารถลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัด แบบมาตรฐาน รวมถึงช่วยให้ระยะเวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง เพียง 1 วันหลังรับการผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถเดินโดยใช้ไม้พยุงช่วย จากนั้นก็จะเดินขึ้นและลงบันไดได้ในระยะเวลา 2 สัปดาห์ รวมถึงรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดจะมีขนาดสั้นเพียง 3-4 นิ้ว นอกจากจากนั้นข้อเข่าเทียมที่เราใช้ยังเป็นข้อเทียมชนิดงอได้มากและตัวรับ น้ำหนักสามารถเคลื่อนไหวได้ ซึ่งจะมีผลทำให้อายุของข้อสามารถใช้งานได้นานขึ้น ยังคงการเดินที่ปกติ ไม่แตกต่างจากข้อปกติมากเกินไป



ข้อดีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบแผลเล็ก

-ลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ

-รอยแผลเป็นหลังผ่าตัดสั้นเพียง 3-4 นิ้ว

-เสียเลือดน้อยกว่า และเจ็บปวดน้อยกว่า

-หลังการผ่าตัด 1 วัน สามารถเดินลงน้ำหนักโดยใช้ไม้พยุงช่วย

-ใช้เวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลน้อยกว่า

อาการโรคเบาหวาน BIM100 ดูแลสุขภาพให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข โทร 094 70...







อาการโรคเบาหวาน BIM100 ดูแลสุขภาพให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/22

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife





โรคเบาหวาน


โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ง่าย อาทิ ตา ไต รวมไปถึงระบบประสาท ส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ร่างกายจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน การเจาะเลือดเซลล์ในตับอ่อนที่มีชื่อว่า เบต้าเซลล์ จะเป็นตัวสร้างอินซูลิน โดยที่อินซูลินจะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน



ความสำคัญของ อินซูลิน ต่อร่างกาย

อย่างที่บอกไปในตอนแรกที่เริ่มทำความรู้จักกับ โรคเบาหวาน ว่า อินซูลิน นั้นเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สำคัญภายในร่างกาย สร้างและหลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตากลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญและเป็นพลังงานที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต หากร่างกายขาดอินซูลิน หรืออินซูลินนั้นออกฤทธิ์ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะใช้การไม่ได้ เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็ยังมีความผิดปกติในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น มีการสลายตัวของสารไขมันและโปรตีนร่วม



10 สัญญาณอันตราย โรคเบาหวาน



1. อ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้



2. ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ



3. ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ



4. หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)



5. ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ



6. ปวดขา ปวดเข่า



7. ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด



8. เป็นฝีตามตัวบ่อยๆ



9. อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย



10. แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที












ใครที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ?



โรคเบาหวาน นั้นเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มีญาตสายตรง อย่าง พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากมีทั้งพ่อและแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน รุ่นลูกก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นถึงร้อยละ 50



นอกจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ อาทิ ผู้ที่มีน้ำเกิน หรือเรียกว่า อ้วน , ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย , มีไขมันในเลือดสูง โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้เท่าๆ กัน



โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน


โรคเบาหวานนั้นถือได้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็ง หรือตีบ ซึ่งหากหลอดเลือดในอวัยวะส่วนใดของร่างกายแข็ง หรือตีบ ก็จะทำให้เกิดโรคที่อวัยวะนั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่า โรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ อันได้แก่ ระบบประสาท , ตา , ไต , ไต , หัวใจและหลอดเลือด , ผิวหนัง และช่องปาก เป็นต้น



อาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน



หากกล่าวถึงโดยภาพรวมอาการของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นจะปัสสาวะบ่อย มีน้ำหนักที่ลดลง หิวบ่อย บางครั้งก็มีอาการอ่นเพลีย อันเนื่องมาจากการที่มีน้ำตาลในเลือดสูง คราวนี้ เราลองมาดูกันลึกลงไปอีกนิดว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีอาการใดแสดงให้เห็นเพิ่มเติมได้อีกบ้าง



ในคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดเพียง 70 - 110 มก.% โดยหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเข้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะมีระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 140 มก.% ซึ่งที่มีระดับน้ำตาลไม่มากก็อาจจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานนั้นทำได้ด้วยการเจาะเลือด มีอาการที่พบได้บ่อยดังนี้



คนปกติที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะไม่ลุกขึ้นมาปัสสาวะในช่วงเวลากลางดึก หรือปัสสาวะเป็นอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกินกว่า 180 มก.% น้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งยังอาจพบได้ว่าปัสสาวะของตนเองมีมดตอม

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะหิวน้ำบ่อย อันเนื่องมาจากต้องมีการทดแทนน้ำที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ

มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลงเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่มีอยู่ได้ จึงได้ย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา

ผู้ป่วยมักจะหิวบ่อยและกินเก่ง แต่ในทางตรงกันข้าม น้ำหนักตัวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดเพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อแทน

อาการอื่นที่อาจพบได้ อาทิ การติดเชื้อ , แผลหายช้า หรือมีอาการคันตามจุดต่างๆ ของร่างกาย

เกิดการคันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการคันอาจเกิดจากผิวที่แห้งจนเกินไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง

การมองเห็นไม่ชัดเจน สายตาพร่ามัวจนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางสายตา เช่น สายตาสั้น , ต้อกระจก หรือมีน้ำตาลในเลือดสูง

ยิ้มสู้โรคข้อเสื่อม แนวทางดูแลสุขภาพ BIM100 น้ำมังคุด โทร 094 709 4444





ยิ้มสู้โรคข้อเสื่อม แนวทางดูแลสุขภาพ BIM100 น้ำมังคุด

BIM100 น้ำมังคุด อาหารเสริมสมุนไพร สร้างภูมิสมดุล

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/23

โทร 088-826-4444 , 094-709-4444

        089-071-8889 , 094-435-0404

LINE ID : @Jumbolife







โรคข้อเสื่อม



     โรคข้อเสื่อมหมายถึงโรคที่มีความผิดปกติที่กระดูกอ่อนผิวข้อและกระดูกบริเวณใกล้ข้อ มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนผิวข้อทั้งทางด้านรูปร่าง ทางด้านโครงสร้างทางด้านชีวะเคมี และทางด้านชีวะพลศาสตร์   กระดูกอ่อนผิวข้อจะบางลงทำให้การทำงานของกระดูกอ่อนผิวข้อเสียไปเช่น

-หน้าที่ในด้านการกระจายแรงที่มาผ่านข้อเสียไป

-หน้าที่ในการให้กระดูกเคลื่อนผ่านกันอย่างนุ่มนวลเสียไปทำให้เกิดเสียง  เวลาเคลื่อนไหว-มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกที่อยู่ใกล้ข้อเช่นมีกระดูกงอกออกทางด้านข้างของข้อ (maginal osteophyte)

-กระดูกใต้ต่อกระดูกอ่อนมีการหนาตัวขึ้น ทำให้เกิดอาการต่างๆของข้อ   เช่น ปวดข้อ ข้อฝืด  ข้อแข็ง มีเสียงดังที่ข้อเวลาที่ข้อมีการเคลื่อนไหว

-องศาของการเคลื่อนไหวของข้อลดลงข้อโตขึ้นถ้าไม่ได้รับการรักษา  อย่างถูกต้องจะเกิดการพิการตามมา เช่น ข้อหลวมข้อโก่ง ข้อบิดเบี้ยว รูปร่างของข้อผิดไป



2. สาเหตุของโรคข้อเสื่อม


โรคข้อเสื่อมมีสาเหตุได้ต่างๆกันผู้ป่วยบางรายอาจมีหลายองค์ประกอบในการทำให้เกิดโรค องค์ประกอบทำให้เกิดโรคองค์ประกอบเหล่านี้บางอย่างสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็จะไม่ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมหรือช่วยชะลอการเกิดให้ช้าลง องค์ประกอบของการเกิดโรคได้แก่

2.1  อายุ

เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ในการศึกษาการระบาดวิทยาพบว่า ยิ่งอายุมากขึ้นจะยิ่งพบอุบัติการโรคข้อเสื่อมมาก แต่อาการปวดและความ  พิการไม่จำเป็นต้องเป็นมากขึ้นตามอายุ โดยเมื่ออายุมากขึ้นกระดูกอ่อนผิวข้อมีความทนต่อแรงกดลดลงตามลำดับ จากที่มีการเปลี่ยนแปลงของสารที่อยู่ในกระดูกอ่อนผิวข้อ เช่น โปรตีนโอกลัยแคน คอลลาเจนและการทำงานของเซลล์กระดูกอ่อน (chondrocyte cells) นอกจากนี้  ประสาทส่วนปลายเมื่ออายุมากขึ้นจะทำงานลดลง ซึ่งจากการทดลองพบว่าถ้าเส้นประสาทที่มาเลี้ยงข้อเสียไปจะมีผลทำให้โรคข้อเสื่อมเร็วขึ้น   จากการที่ไม่สามารถจัดให้มีแรงผ่านของข้อได้อย่างถูกต้อง แรงหรือ   น้ำหนักที่ผ่านข้อที่ลงที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไปจะทำให้ตำแหน่งนั้นมี การเสียหายและทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมต่อมาได้ ดังนั้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นประสาทส่วนปลายทำงานลดลง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โรคข้อเสื่อมเกิดได้เร็วขึ้น








2.2. พันธุกรรมและโรคเมตาโบลิซึม

โรคข้อเสื่อมพบบ่อยในรายที่มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของกระดูกอ่อนผิวข้อ (cartilage matrix)ผู้ป่วยที่เป็นโรคที่มีผลึกไปฝังตัวในกระดูกอ่อนผิวข้อจะทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่มีการเกิดผลึก โรคที่ทำให้เกิดมีการฝังตัวของผลึกในกระดูกอ่อนผิวข้อและทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้ ได้แก่ โรคเก๊าท์  โรคเก๊าท์เทียม  ฮีโมโครมาโตซีส (hemochromatosis) โรควิลสัน (Wilson's disease)  และโรคข้อจากโอโครโนทิส (ochronotic arthropathy) โดยพบมีผลึกของกรดยูเรต (monosodium urate) ผลึกของแคลเซี่ยมไพโรฟอสเฟต (calcium pyrophosphate dihydrate) ผลึกฮีโมสิเดอริน (hemosiderin) ทองแดงกรดโฮโมเจนทิสิทโพลีเมอร์ (homogentisic acid polymers) มาฝังตัวในกระดูกผิวข้อและมีผลทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมโดยมีผลโดยตรงต่อกระดูกอ่อนผิวข้อ ในการทำงานขององค์ประกอบต่างๆที่มีในข้อหรือมีผลทำให้กระดูกอ่อนผิวข้อแข็งขึ้น  กว่าปกติทำให้การรับการส่งแรงที่มากระทบเปลี่ยนแปลงไป



2.3 การเปลี่ยนแปลงในเมตาโบลิซึมของการทำงานของเซลกระดูกอ่อน

การทำงานของเซลกระดูกอ่อนในคนปกติแตกต่างจากคนที่เป็นโรคข้อเสื่อม เป็นภาวะทางพันธุกรรมไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่ภาวะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นเองหรือมีตัวมากระตุ้นแล้วทำให้เกิดข้อเสื่อมยังไม่ชัดเจน



2.4 การได้รับบาดเจ็บของข้อ (truama)

การกระดูกหักหรือการบาดเจ็บอันมีผลต่อการเคลื่อนไหวของข้อซ้ำๆหลายครั้งโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องผลสุดท้ายจะทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้  ตัวอย่างลูกสะบ้าเคลื่อนหลุดจากตำแหน่งบ่อยๆ การหลุดของหัวกระดูกสะโพกบ่อยๆการมรแรงกระทำซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าจะมีผลต่อข้อ โดยทำให้มีการแข็งขึ้นของกระดูกที่อยู่ใต้ต่อกระดูกอ่อน (subchondral bone) และมีผลต่อการฉีกขาดเสียหายของกระดูกอ่อนผิวข้อมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปแรงที่ส่งผ่านข้อ





นอกจากน้ำหนักตัวในตำแหน่งข้อที่เกี่ยวกับการรับน้ำหนักแล้วยังมีแรงที่เป็นผลจากกล้ามเนื้อทำงานหดตัวในขณะร่างกายเคลื่อนไหว ในคนปกติ  ขณะเดินจะมีแรงผ่านข้อเข่าประมาณ 4-5 เท่าของน้ำหนักตัว ในการนั่งยองๆ แรงจะเพิ่มเป็น 10 เท่าของน้ำหนักตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระดูกอ่อน  ต้องทำหน้าที่รับแรงดังกล่าว อาชีพที่ทำให้มีแรงผ่านข้อมากผิดปกติ เช่นคนงานขุดถนนที่ใช้สว่านขุดเจาะถนน หรือในนักกีฬา ในขณะที่มีแรงผ่านข้อมากถ้าโครงสร้างภายในกระดูกอ่อนผิวข้อรับไม่ไหวจะเกิดมีการทำลายของโครงสร้างของกระดูกอ่อนและทำให้การกระจายแรงที่ผ่านข้อเสียไป  ขณะเดียวกันกระดูกที่อยู่ใต้ต่อกระดูกอ่อน ก็จะมีการแตกหักแบบเล็กๆ ขบวนการซ่อมแซมของร่างกายอันได้แก่ การสร้างกระดูกมาแทนที่ (callus formation) และจัดตัวใหม่ของกระดูกภายหลังกระดูกหัก (remodeling) ผลการซ่อมแซมใหม่ทำให้กระดูกแข็งขึ้นทำให้การกระจายแรงก็จะแย่ไปด้วยจะมีผลให้แรงลงที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินกว่าปกติและทำให้เกิดโรคข้อเสื่อม