วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อาการโรคตาเสื่อม bim100 สมุนไพรน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพดวงตา โทร 094 709 4444





**อาการโรคตาเสื่อม bim100 สมุนไพรน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพดวงตา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

อาการน้ำวุ้นตาเสื่อม bim100 อาหารเสริมน้ำมังคุด โรคตาเสื่อม โทร 088 826 ...





**อาการน้ำวุ้นตาเสื่อม bim100 อาหารเสริมน้ำมังคุด โรคตาเสื่อม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

แสงจากมือถืออาจทำให้เป็นโรคตาเสื่อม bim100 น้ำมังคุด โทร 094 709 4444





**แสงจากมือถืออาจทำให้เป็นโรคตาเสื่อม bim100 น้ำมังคุด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

สาเหตุโรคตาเสื่อม bim100 ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444





**สาเหตุโรคตาเสื่อม bim100 ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

สาเหตุโรคดวงตาเสื่อม bim100 ดูแลสุขภาพโรคจอประสาทตาเสื่อม โทร 094 709 4444





**สาเหตุโรคดวงตาเสื่อม bim100 ดูแลสุขภาพโรคจอประสาทตาเสื่อม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

สาเหตุโรคจอประสาทตาเสื่อม BIM100 สมุนไพรดูแลสุขภาพ โทร 094 709 4444





**สาเหตุโรคจอประสาทตาเสื่อม BIM100 สมุนไพรดูแลสุขภาพ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

วัยรุ่นก็อาจจะเป็นโรคตาเสื่อมได้ BIM100 สาเหตุโรคจอประสาทตาเสื่อม โทร 09...





**วัยรุ่นก็อาจจะเป็นโรคตาเสื่อมได้ BIM100 สาเหตุโรคจอประสาทตาเสื่อม 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

โรคตาเสื่อม อาจนำไปสู่่การเป็นคนตาบอด Bim100 อาหารเสริมน้ำมังคุด โทร 088...





**โรคตาเสื่อม อาจนำไปสู่่การเป็นคนตาบอด Bim100 อาหารเสริมน้ำมังคุด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด อาการโรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444




**บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด อาการโรคตาเสื่อม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ



2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล โรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444





**บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล โรคตาเสื่อม 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคจอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่เกิดความผิดปกติขึ้นตรงจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือในพันธุกรรม จอประสาทตาเป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสงที่กระทบสิ่งของจะส่งผ่านเข้าไปในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ซึ่งบริเวณจอประสาทตาจะมีส่วนที่ไวที่สุดของจอประสาทตาคือ แมคูลา ลูเตีย ที่ประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้าน ที่ช่วยในการมองภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น



แต่ในผู้ที่เป็นจอประสาทตาเสื่อม จะโดนทำลายตัวแมคูลา ลูเตียไปทีละน้อย จะค่อย ๆ ลุกลามอย่างช้า ๆ จนอาจจะมีผลทำให้ตาบอดไปในที่สุด ทั้งนี้อาจจะบอดแค่ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โรคนี้มักเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดในผู้สูงอายุ



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

1.จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดการสลายตัวของเซลล์ไวแสง ที่จะมีการเสื่อมสลาย หรือบางลงของจุดรับภาพ ซึ่งจะเป็นการเสื่อมไปตามอายุ ความสามารถในการมองเห็นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ





2.จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องของการเกิดความเสียหายที่รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญหลักที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอด ซึ่งเกิดจากมีเส้นเลือดงอกออกมาอยู่ใต้จอประสาทตาแบบผิดปกติ ทำให้จุดกลางรับภาพเกิดการบวมจึงเป็นเหตุทำให้มองภาพเห็นเป็นภาพที่บิดเบี้ยว จนภาพที่เห็นจะมืดลงและดับไปในที่สุด



อาการของโรค

อาการของผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น จะแสดงออกที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน และยากต่อการสังเกตว่าเป็นหรือไม่เป็นในระยะเริ่มแรก เพราะอาการมักจะออกก็ต่อเมื่อเริ่มเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว จึงต้องคอยไปตรวจสายตา หรือสังเกตดูว่าตาข้างใดเริ่มมีปัญหาหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้างก็อาจจะรู้สึกถึงอาการได้เร็วกว่าคนที่เป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะอาการผิดปกติจะแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน รูปภาพบิดเบี้ยว ส่วนกลางของรูปจะหายไปมองเห็นแค่รายละเอียดรอบ ๆ หรือไม่ภาพนั้นก็จะมืดดำไปเลย



ทางการแพทย์ได้มีการแนะนำวิธีสังเกตว่า ผู้ที่มีอายุในช่วง 40 -64 ปี ควรเริ่มที่จะต้องไปตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 2-4 ปี แต่ถ้าอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ให้ไปตรวจทุก ๆ 1-2 ปีถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ควรที่จะไปตรวจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันและรู้ทันโรคก่อนที่อาการจะรุนแรงหนักขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

บิม100 น้ำมังคุด สาเหตุโรคตาเสื่อม โทร 094 709 4444





**บิม100 น้ำมังคุด สาเหตุโรคตาเสื่อม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



สาเหตุของวุ้นตาเสื่อม สาเหตุของวุ้นตาเสื่อมเกิดจากเศษเนื้อตาย (Debris) ที่ลอยอยู่ในวุ้นตา โดยวุ้นตามีลักษณะใสคล้ายเจลลี่ที่อยู่บริเวณตรงกลางของลูกตา และในภาวะปกติ น้ำวุ้นตาเป็นน้ำใส ไม่มีสี และมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก เมื่อวุ้นตาหรือน้ำวุ้นตาเสื่อมจะทำให้เกิดเศษเนื้อตายตกตะกอน อาจเป็นอณูเล็ก ๆ เป็นจุดเดียว หลายจุด เป็นวงหรือเป็นเส้น โดยหากอณูเหล่านี้ถูกแสงจากข้างหน้าดวงตา จะทำให้เกิดเป็นเงาทอดไปยังจอตา หรืออณูเหล่านี้อาจก่อให้เกิดการหักเหของแสงที่ผ่านมาจากส่วนหน้าดวงตาและกระจายไปตกที่จอตาส่วนต่างๆ ทำให้เกิดการรับรู้ว่ามีจุดมืดเกิดขึ้น และเนื่องจากอณูเหล่านี้อยู่ในน้ำวุ้นซึ่งเป็นน้ำ จึงมีการเคลื่อนไหวตามการขยับของลูกตา ทำให้รับรู้ว่ามีบางสิ่งลอยไปมา



นอกจากนั้น สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้วุ้นตาเสื่อมเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งของเหลวที่คล้ายวุ้นในลูกตาก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหรือเกิดกระบวนการที่ทำให้วุ้นดังกล่าวหลุดจากผิวของลูกตาไป แต่ส่วนใหญ่จะไมก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ และไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา





อาการวุ้นตาเสื่อม อาการวุ้นตาเสื่อมที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่



-จุดที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ จุดสีดำหรือสีเทา เป็นเส้นเกลียว ใยแมงมุม หรือวงแหวน

-เมื่อเคลื่อนไหวดวงตา จุดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะเคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน แต่หากตั้งใจที่จะมองไปยังจุดดังกล่าว ก็จะหายไปจากการมองเห็นอย่างรวดเร็ว

-จุดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะสังเกตได้ชัดเจนเมื่อไปยังพื้นผิวที่เป็นสีพื้นและสว่าง เช่น ท้องฟ้าหรือกำแพงสีขาว



ภาวะแทรกซ้อนวุ้นตาเสื่อม วุ้นตาเสื่อมไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง และมักไม่มีผลกระทบต่อการมองเห็น แต่ผู้ที่มีปัญหาวุ้นตาเสื่อมควรที่จะได้รับการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำอย่างน้อยทุก 2 ปี

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีจุดดำในตาลอยไปลอยไปขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดความรำคาญและอาจทำให้เกิดความยากลำบากในการทำกิจกรรมที่ต้องสมาธิหรือการจดจ่อมาก ๆ เช่น การอ่านหนังสือ หรือการขับขี่ยานพาหนะ

เล่นโทรศัพท์บ่อยอาจทำให้เป็นโรคตาเสื่อม BIM100 โรควุ้นตาเสื่อม โทร 094 7...





**เล่นโทรศัพท์บ่อยอาจทำให้เป็นโรคตาเสื่อม BIM100 โรควุ้นตาเสื่อม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/473

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444

ไลน์  :  @jumbolife หรือคลื๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



จอประสาทตาเสื่อม (Age-Related Macular Degeneration: AMD) คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งโรคจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและประเภท



โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็น  2 ประเภท

จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD) มีจุดสีเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตาซึ่งเรียกว่า ดรูเซ่น (Drusen) สะสมอยู่ใต้จอประสาทตา จุดสีเหลืองนี้ทำลายเซลล์รับแสง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่บิดเบี้ยว โรคมักแสดงอาการอย่างช้า ๆ และในบางกรณีอาจกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้





จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD) พบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดฝอยด้านหลังจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลไปโดนจุดรับภาพ  ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างมากทั้งแบบถาวรและเฉียบพลัน



อาการจอประสาทตาเสื่อม

อาการจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง อาการในช่วงแรก ผู้ป่วยอาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ เมื่อเวลาผ่านไป จุดดำในภาพจะเริ่มขยายใหญ่ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้อ่านหนังสือลำบากหรือมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด



อาการจอประสาทเสื่อมชนิดเปียก ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพบิดเบี้ยว พร่ามัว เห็นจุดดำขนาดใหญ่ในภาพซึ่งเป็นผลมาจากการที่เลือดไหลไปอยู่ในจุดรับภาพ



สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นไปตามวัย สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงกลางจอประสาทตามีปัญหา โดยจุดรับภาพนี้เป็นจุดที่มีความไวต่อแสง ช่วยในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดของจอประสาทตา

Bim100 สาเหตุโรคมะเร็ง มะเร็งเต้านม โทร 094 709 4444





Bim100 สาเหตุโรคมะเร็ง มะเร็งเต้านม 

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444  ,  089-071-8889  ,  094-435-0404

ไลน์  :   @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife


มะเร็งเต้านม (Breast cancer) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติส่วนใดส่วนหนึ่งภายในเต้านมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะลุกลามไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นของร่างกาย มะเร็งชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่พบในเพศชายในอัตราที่น้อยมาก


ภายในเต้านมของผู้หญิงจะประกอบไปด้วยต่อมผลิตน้ำนม ท่อน้ำนม เนื้อเยื่อไขมัน ท่อน้ำเหลือง เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือดต่าง ๆ ซึ่งเซลล์มะเร็งส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกิดขึ้นบริเวณต่อมผลิตน้ำนม (Lobules) และท่อน้ำนม (Ducts) มากกว่าส่วนอื่น การก่อตัวของมะเร็งเต้านมสามารถเกิดขึ้นได้กับเซลล์ทุกส่วนภายในเต้านมในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากเซลล์ผิดปกติมีการแบ่งตัวมากขึ้นเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถควบคุมได้ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง ระบบน้ำเหลือง และสุดท้ายกระจายไปยังกระแสเลือด และไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้



อาการของมะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านมในระยะแรกแทบไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยการคลำพบก้อนเนื้อในเต้านมหรือบริเวณรักแร้มากที่สุด อาการอื่น ๆ อาจสังเกตได้จากขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หัวนมบุ๋ม เป็นแผล อาจมีน้ำเหลืองหรือของเหลวสีคล้ายเลือดไหลออกมาหรือเป็นผื่นบริเวณหัวนม



สาเหตุของมะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านมยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเพศหญิง ทั้งจากสภาพแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมการใช้ชีวิต อายุที่มากขึ้น ผู้หญิงที่ไม่มีบุตร หรือมีช่วงระยะของการมีประจำเดือนนาน และอีกหลายปัจจัย ทั้งนี้บางปัจจัยสามารถแก้ไขได้ แต่บางปัจจัยไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือเชื้อชาติ เป็นต้น

BIM100 สร้างเม็ดเลือดขาวดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง โทร 094 709 4444





BIM100 สร้างเม็ดเลือดขาวดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444  ,  089-071-8889  ,  094-435-0404

ไลน์  :   @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



มะเร็ง (Cancer) คือ ภาวะที่เซลล์ในร่างกายของเรามีการแบ่งตัวและเจริญขึ้นโดยรวดเร็วอย่างผิดปกติในสารพันธุกรรม (DNA) โดยเริ่มจากเป็นเซลล์เล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามเวลา นานวันเข้าเซลล์นั้นก็จะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงทำให้เซลล์ในก้อนเนื้อนั้นตาย จนกลายเป็นก้อนเนื้องอกร้ายที่ไปเบียดบังทั้งส่วนที่เกิดและส่วนอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียง จากนั้นก็จะค่อยๆ กระจายไปในส่วนอื่นๆ ของร่างกายโดยผ่านระบบกระแสเลือดหรือน้ำเหลืองของเราเป็นตัวนำเชื้อไป



สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง



สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างป่วยด้วยโรคมะเร็งกันมากขึ้นนั้นเกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน คือ

1. ปัจจัยภายนอก

– ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มักเกิดในคนที่ไม่นิยมกินร้อนช้อนกลาง โดยอาจติดจากทางน้ำลายในการรับประทานอาหารร่วมกัน

– การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในกรณีที่ชอบรับประทานอาหารแบบดิบๆ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ

– ผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นชีวิตจิตใจ และผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

– ผู้ได้รับรังสีอัลตราไวโลเลตจากแสงแดดเป็นเวลานาน

– ผู้ที่เคยผ่านการฉายรังสีเอกซเรย์





– สารอะฟลาทอกซินที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มที่เรารับประทานกันทุกวัน โดยเฉพาะในพวกพริกแห้ง ถั่ว ฯลฯ

– สารก่อมะเร็งในอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง ทอด โดยเฉพาะเนื้อที่ย่างหรือปิ้งจนไหม้เกรียม หรือเนื้อที่ทอดโดยใช้น้ำมันซ้ำๆ ทุกวัน

– สารไฮโดรคาร์บอน เป็นสารเคมีที่นำมาใช้ในการถนอมอาหารอย่างไนโตรซามิน ซึ่งเป็นสีย้อมผ้าที่นำมาใช้เป็นสีผสมอาหาร



2. ปัจจัยภายใน

– เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย เช่น เด็กพิการแต่กำเนิด ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม

– ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น พวกวิตามินเอ หรือซี ฯลฯ



ซึ่งจะเห็นได้ว่ามะเร็งส่วนใหญ่นั้นเกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่าเราสามารถป้องกันการก่อเกิดโรคมะเร็งได้มากพอสมควร ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและระเบียบวินัยการเลือกปฏิบัติของเราเป็นหลัก รวมทั้งความรู้ในเรื่องของสารก่อมะเร็งด้วย



อาการของโรคมะเร็ง

– สำหรับในช่วงแรกของการเกิดโรคมะเร็งขึ้นในร่างกายนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มีอาการอะไรส่อเค้า หรือบอกให้ผู้ป่วยทราบได้เลยว่ากำลังเผชิญกับโรคมะเร็งนี้อยู่ ทำให้กว่าที่จะรู้ตัวก็สายเกินแก้

– เมื่อเป็นประสักระยะหนึ่งหรือหลายปี ผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่มักจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียง่าย เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็ว ผอมซูบ น้ำหนักลด ร่างกายเริ่มดูทรุดโทรมลง ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม

– และเมื่ออยู่ในระยะที่มะเร็งเริ่มลุกลามมากขึ้นก็จะเริ่มปรากฏอาการอย่างชัดเจนในระยะนี้ จะรู้สึกเจ็บปวดและทรมานเป็นอย่างมากตามจุดต่างๆ ที่เกิดมะเร็งขึ้น ทั้งนี้จะมีอาการมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับโรคมะเร็งที่เป็นว่าเป็นมะเร็งชนิดใด ประเภทไหน และการกระจายของเซลล์มะเร็งภายในนั้นไปเบียดบังอวัยวะส่วนใดบ้าง ณ ขณะนั้น

บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง โทร 094 709 4444





บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444  ,  089-071-8889  ,  094-435-0404

ไลน์  :   @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



มะเร็ง (Cancer) คือ ภาวะที่เซลล์ในร่างกายของเรามีการแบ่งตัวและเจริญขึ้นโดยรวดเร็วอย่างผิดปกติในสารพันธุกรรม (DNA) โดยเริ่มจากเป็นเซลล์เล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามเวลา นานวันเข้าเซลล์นั้นก็จะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงทำให้เซลล์ในก้อนเนื้อนั้นตาย จนกลายเป็นก้อนเนื้องอกร้ายที่ไปเบียดบังทั้งส่วนที่เกิดและส่วนอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียง จากนั้นก็จะค่อยๆ กระจายไปในส่วนอื่นๆ ของร่างกายโดยผ่านระบบกระแสเลือดหรือน้ำเหลืองของเราเป็นตัวนำเชื้อไป



สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง



สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างป่วยด้วยโรคมะเร็งกันมากขึ้นนั้นเกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน คือ

1. ปัจจัยภายนอก

– ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มักเกิดในคนที่ไม่นิยมกินร้อนช้อนกลาง โดยอาจติดจากทางน้ำลายในการรับประทานอาหารร่วมกัน

– การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในกรณีที่ชอบรับประทานอาหารแบบดิบๆ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ

– ผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นชีวิตจิตใจ และผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

– ผู้ได้รับรังสีอัลตราไวโลเลตจากแสงแดดเป็นเวลานาน

– ผู้ที่เคยผ่านการฉายรังสีเอกซเรย์





– สารอะฟลาทอกซินที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มที่เรารับประทานกันทุกวัน โดยเฉพาะในพวกพริกแห้ง ถั่ว ฯลฯ

– สารก่อมะเร็งในอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง ทอด โดยเฉพาะเนื้อที่ย่างหรือปิ้งจนไหม้เกรียม หรือเนื้อที่ทอดโดยใช้น้ำมันซ้ำๆ ทุกวัน

– สารไฮโดรคาร์บอน เป็นสารเคมีที่นำมาใช้ในการถนอมอาหารอย่างไนโตรซามิน ซึ่งเป็นสีย้อมผ้าที่นำมาใช้เป็นสีผสมอาหาร



2. ปัจจัยภายใน

– เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย เช่น เด็กพิการแต่กำเนิด ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม

– ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น พวกวิตามินเอ หรือซี ฯลฯ



ซึ่งจะเห็นได้ว่ามะเร็งส่วนใหญ่นั้นเกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่าเราสามารถป้องกันการก่อเกิดโรคมะเร็งได้มากพอสมควร ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและระเบียบวินัยการเลือกปฏิบัติของเราเป็นหลัก รวมทั้งความรู้ในเรื่องของสารก่อมะเร็งด้วย



อาการของโรคมะเร็ง

– สำหรับในช่วงแรกของการเกิดโรคมะเร็งขึ้นในร่างกายนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มีอาการอะไรส่อเค้า หรือบอกให้ผู้ป่วยทราบได้เลยว่ากำลังเผชิญกับโรคมะเร็งนี้อยู่ ทำให้กว่าที่จะรู้ตัวก็สายเกินแก้

– เมื่อเป็นประสักระยะหนึ่งหรือหลายปี ผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่มักจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียง่าย เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็ว ผอมซูบ น้ำหนักลด ร่างกายเริ่มดูทรุดโทรมลง ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม

– และเมื่ออยู่ในระยะที่มะเร็งเริ่มลุกลามมากขึ้นก็จะเริ่มปรากฏอาการอย่างชัดเจนในระยะนี้ จะรู้สึกเจ็บปวดและทรมานเป็นอย่างมากตามจุดต่างๆ ที่เกิดมะเร็งขึ้น ทั้งนี้จะมีอาการมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับโรคมะเร็งที่เป็นว่าเป็นมะเร็งชนิดใด ประเภทไหน และการกระจายของเซลล์มะเร็งภายในนั้นไปเบียดบังอวัยวะส่วนใดบ้าง ณ ขณะนั้น

บิม100 สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล โรคมะเร็ง โทร 094 709 4444





บิม100 สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล โรคมะเร็ง 

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444  ,  089-071-8889  ,  094-435-0404

ไลน์  :   @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



มะเร็ง (Cancer) คือ ภาวะที่เซลล์ในร่างกายของเรามีการแบ่งตัวและเจริญขึ้นโดยรวดเร็วอย่างผิดปกติในสารพันธุกรรม (DNA) โดยเริ่มจากเป็นเซลล์เล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามเวลา นานวันเข้าเซลล์นั้นก็จะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงทำให้เซลล์ในก้อนเนื้อนั้นตาย จนกลายเป็นก้อนเนื้องอกร้ายที่ไปเบียดบังทั้งส่วนที่เกิดและส่วนอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียง จากนั้นก็จะค่อยๆ กระจายไปในส่วนอื่นๆ ของร่างกายโดยผ่านระบบกระแสเลือดหรือน้ำเหลืองของเราเป็นตัวนำเชื้อไป



สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง



สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างป่วยด้วยโรคมะเร็งกันมากขึ้นนั้นเกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน คือ

1. ปัจจัยภายนอก

– ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มักเกิดในคนที่ไม่นิยมกินร้อนช้อนกลาง โดยอาจติดจากทางน้ำลายในการรับประทานอาหารร่วมกัน

– การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในกรณีที่ชอบรับประทานอาหารแบบดิบๆ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ

– ผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นชีวิตจิตใจ และผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

– ผู้ได้รับรังสีอัลตราไวโลเลตจากแสงแดดเป็นเวลานาน

– ผู้ที่เคยผ่านการฉายรังสีเอกซเรย์





– สารอะฟลาทอกซินที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มที่เรารับประทานกันทุกวัน โดยเฉพาะในพวกพริกแห้ง ถั่ว ฯลฯ

– สารก่อมะเร็งในอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง ทอด โดยเฉพาะเนื้อที่ย่างหรือปิ้งจนไหม้เกรียม หรือเนื้อที่ทอดโดยใช้น้ำมันซ้ำๆ ทุกวัน

– สารไฮโดรคาร์บอน เป็นสารเคมีที่นำมาใช้ในการถนอมอาหารอย่างไนโตรซามิน ซึ่งเป็นสีย้อมผ้าที่นำมาใช้เป็นสีผสมอาหาร



2. ปัจจัยภายใน

– เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย เช่น เด็กพิการแต่กำเนิด ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม

– ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น พวกวิตามินเอ หรือซี ฯลฯ



ซึ่งจะเห็นได้ว่ามะเร็งส่วนใหญ่นั้นเกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่าเราสามารถป้องกันการก่อเกิดโรคมะเร็งได้มากพอสมควร ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและระเบียบวินัยการเลือกปฏิบัติของเราเป็นหลัก รวมทั้งความรู้ในเรื่องของสารก่อมะเร็งด้วย



อาการของโรคมะเร็ง

– สำหรับในช่วงแรกของการเกิดโรคมะเร็งขึ้นในร่างกายนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มีอาการอะไรส่อเค้า หรือบอกให้ผู้ป่วยทราบได้เลยว่ากำลังเผชิญกับโรคมะเร็งนี้อยู่ ทำให้กว่าที่จะรู้ตัวก็สายเกินแก้

– เมื่อเป็นประสักระยะหนึ่งหรือหลายปี ผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่มักจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียง่าย เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็ว ผอมซูบ น้ำหนักลด ร่างกายเริ่มดูทรุดโทรมลง ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม

– และเมื่ออยู่ในระยะที่มะเร็งเริ่มลุกลามมากขึ้นก็จะเริ่มปรากฏอาการอย่างชัดเจนในระยะนี้ จะรู้สึกเจ็บปวดและทรมานเป็นอย่างมากตามจุดต่างๆ ที่เกิดมะเร็งขึ้น ทั้งนี้จะมีอาการมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับโรคมะเร็งที่เป็นว่าเป็นมะเร็งชนิดใด ประเภทไหน และการกระจายของเซลล์มะเร็งภายในนั้นไปเบียดบังอวัยวะส่วนใดบ้าง ณ ขณะนั้น

สร้างความหวังกับโรคมะเร็ง BIM100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง โทร 094 7...




:  สร้างความหวังกับโรคมะเร็ง BIM100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง

สอบถามเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/20

โทร.  094-709-4444  ,  088-826-4444  ,  089-071-8889  ,  094-435-0404

ไลน์  :   @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



มะเร็ง (Cancer) คือ ภาวะที่เซลล์ในร่างกายของเรามีการแบ่งตัวและเจริญขึ้นโดยรวดเร็วอย่างผิดปกติในสารพันธุกรรม (DNA) โดยเริ่มจากเป็นเซลล์เล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามเวลา นานวันเข้าเซลล์นั้นก็จะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงทำให้เซลล์ในก้อนเนื้อนั้นตาย จนกลายเป็นก้อนเนื้องอกร้ายที่ไปเบียดบังทั้งส่วนที่เกิดและส่วนอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียง จากนั้นก็จะค่อยๆ กระจายไปในส่วนอื่นๆ ของร่างกายโดยผ่านระบบกระแสเลือดหรือน้ำเหลืองของเราเป็นตัวนำเชื้อไป



สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง



สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างป่วยด้วยโรคมะเร็งกันมากขึ้นนั้นเกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน คือ

1. ปัจจัยภายนอก

– ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มักเกิดในคนที่ไม่นิยมกินร้อนช้อนกลาง โดยอาจติดจากทางน้ำลายในการรับประทานอาหารร่วมกัน

– การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ในกรณีที่ชอบรับประทานอาหารแบบดิบๆ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ

– ผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นชีวิตจิตใจ และผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ

– ผู้ได้รับรังสีอัลตราไวโลเลตจากแสงแดดเป็นเวลานาน

– ผู้ที่เคยผ่านการฉายรังสีเอกซเรย์





– สารอะฟลาทอกซินที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มที่เรารับประทานกันทุกวัน โดยเฉพาะในพวกพริกแห้ง ถั่ว ฯลฯ

– สารก่อมะเร็งในอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง ทอด โดยเฉพาะเนื้อที่ย่างหรือปิ้งจนไหม้เกรียม หรือเนื้อที่ทอดโดยใช้น้ำมันซ้ำๆ ทุกวัน

– สารไฮโดรคาร์บอน เป็นสารเคมีที่นำมาใช้ในการถนอมอาหารอย่างไนโตรซามิน ซึ่งเป็นสีย้อมผ้าที่นำมาใช้เป็นสีผสมอาหาร



2. ปัจจัยภายใน

– เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย เช่น เด็กพิการแต่กำเนิด ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม

– ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น พวกวิตามินเอ หรือซี ฯลฯ



ซึ่งจะเห็นได้ว่ามะเร็งส่วนใหญ่นั้นเกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่าเราสามารถป้องกันการก่อเกิดโรคมะเร็งได้มากพอสมควร ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและระเบียบวินัยการเลือกปฏิบัติของเราเป็นหลัก รวมทั้งความรู้ในเรื่องของสารก่อมะเร็งด้วย



อาการของโรคมะเร็ง

– สำหรับในช่วงแรกของการเกิดโรคมะเร็งขึ้นในร่างกายนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มีอาการอะไรส่อเค้า หรือบอกให้ผู้ป่วยทราบได้เลยว่ากำลังเผชิญกับโรคมะเร็งนี้อยู่ ทำให้กว่าที่จะรู้ตัวก็สายเกินแก้

– เมื่อเป็นประสักระยะหนึ่งหรือหลายปี ผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่มักจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียง่าย เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็ว ผอมซูบ น้ำหนักลด ร่างกายเริ่มดูทรุดโทรมลง ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม

– และเมื่ออยู่ในระยะที่มะเร็งเริ่มลุกลามมากขึ้นก็จะเริ่มปรากฏอาการอย่างชัดเจนในระยะนี้ จะรู้สึกเจ็บปวดและทรมานเป็นอย่างมากตามจุดต่างๆ ที่เกิดมะเร็งขึ้น ทั้งนี้จะมีอาการมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับโรคมะเร็งที่เป็นว่าเป็นมะเร็งชนิดใด ประเภทไหน และการกระจายของเซลล์มะเร็งภายในนั้นไปเบียดบังอวัยวะส่วนใดบ้าง ณ ขณะนั้น

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

บิม100 ควบคุมการแพร่ของHIV โทร 094 709 4444



บิม100 ควบคุมการแพร่ของHIV

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด



สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

ดูแลสุขภาพโรคเอดส์ Bim100 สาเหตุโรค HIV โทร 094 709 4444





ดูแลสุขภาพโรคเอดส์ Bim100 สาเหตุโรค HIV

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด





สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

Bim100 สร้างเม็ดเลือดขาว ดูแลอาการโรคเอชไอวี โทร 094 709 4444



Bim100 สร้างเม็ดเลือดขาว ดูแลอาการโรคเอชไอวี

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด





สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

Bim100 สร้างความหวังให้ผู้ป่วย HIV โทร 094 709 4444



Bim100 สร้างความหวังให้ผู้ป่วย HIV

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด





สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

Bim100 ดูแลอาการโรคHIV โทร 094 709 4444



Bim100 ดูแลอาการโรคHIV

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด





สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

bim100 กำจัดเซลล์ที่ติดเชื่อHIV ดูแลสุขภาพโรคเอสด์ โทร 094 709 4444



bim100 กำจัดเซลล์ที่ติดเชื่อHIV ดูแลสุขภาพโรคเอสด์

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด





สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

Bim100 กำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อ HIV ดูแลโรคเอดส์ โทร 094 709 4444





Bim100 กำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อ HIV ดูแลโรคเอดส์

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด





สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

สร้างภูมิสมดุลให้ร่างกาย Bim100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างเม็ดเลือดขาว โท...





สร้างภูมิสมดุลให้ร่างกาย Bim100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างเม็ดเลือดขาว

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.jumbolifeshop.com/p/311

โทร 089-071-8889 หรือ 094-709-44444 คุณ อานนท์

LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife



โรคเอดส์ คืออะไร?

โรคเอดส์คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV) เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมายหลายโรค ที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายได้นั้นเอง



โรคเอดส์มีกี่สายพันธุ์

เชื้อไวรัสเอดส์นั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ดั้งเดิมคือ เอชไอวี 1 (HIV-1) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่แพร่ระบาดอยู่ใน ยุโรป แอฟริกากลาง และสหรัฐอเมริกา ส่วนเอชไอวี 2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก



เนื่องจากเชื้อเอชไอวีนั้นมีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ในปัจจุบันได้ค้นพบว่ามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก โดยแหล่งที่พบมากที่สุดคือ แอฟริกาซึ่งมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อเอชไอวี เป็นระยะเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี โดยมีมากถึง 40% สำหรับพื้นที่พบคือ ทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า ส่วนในประเทศไทยนั้น พบบ่อยคือ เชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ สายพันธุ์ เออี (A/E) หรือ (E) พบได้มากถึง 95% โดยการแพร่ระบาดนั้นเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มรักร่วมเพศ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อใช้เสพยาเสพติด





สำหรับสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบเลยในประเทศไทยเลยคือ สายพันธุ์ซี แต่มีการพบสายพันธุ์ระหว่าง อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทยกับสายพันธุ์ซี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้ค้นพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบที่ใดในโลกมาก่อน เป็นการผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ คือ เอ อี และจี เรียกว่า เอ อี จี (AE/G)



การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้

1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย

ซึ่งรวมไปถึงการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น



2. การรับเชื้อทางเลือด

การติดเชื้อเอดส์พบได้ใน 2 กรณี คือ



2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มของผู้ที่เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น



2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเลือดที่รับบริจาคมามาจากแหล่งไหน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมาไปหาตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย 100%



3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก

ซึ่งเกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด