jumbohealth.blogspot.com รวมบทความสาระดีๆเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อการมีสุขภาพที่ยืนยาวและแข็งแรง
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
DrJill เซรั่มคุณหมอ เนื้อบางเบา ดูแลผิวหน้าแม้อายุ60
Dr.Jill เซรั่มคุณหมอ เนื้อบางเบา ดูแลผิวหน้าแม้อายุ60
รายละเอียดเพิ่มเติม
http://www.drjillserum.com/
โทร 088-8256-4444,094-709-4444,089-071-8889,094-435-0404
LINE ID : @Jumbolife หรือคลิ๊กลิ้งค์ https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
เซรั่ม Dr.Jill G5 Essence ดร.จิล นวัตกรรมล่าสุดเพื่อการบำรุงผิวระดับเซลล์
และให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว มองเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5 EGF (Epidermis Growth Factors) …
Essence น้ำนมเข้มข้นประสิทธิภาพสูงแต่มีเนื้อสัมผัสบางเบา สามารถซึมซาบสู่ผิวแก้ไขปัญหาผิวทั้ง 5 ประการได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนผสมหลักใน ใน Dr.JILL g5 essense
Active Ingredients จากการสกัด Growth Factor จาก Stem Cell ถึง 5 ชนิด (มากที่สุดในท้องตลาดขณะนี้)
ผสมผสานสารสำคัญ Moisturizer Complex ให้ได้สูตรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตอบโจทย์ปัญหาผิวทั้ง 5 ประการ
ผิวขาวกระจ่างใสด้วย โกรทแฟคเตอร์ จาก แอปเปิ้ล Apple Growth Factor
-แอปเปิ้ลสเต็มเซลล์สามารถฟื้นฟูเซลล์ได้เพิ่มขึ้น
-มุ่งไปที่เมลานินเพื่อช่วยลดเลือนจุดด่างดำ
-ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
-ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีอันเป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำ
-ใบหน้ากระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
ลดเลือดริ้วรอยด้วย โกรทแฟคเตอร์ จาก ผลอาร์แกน Argan Growth Factor
-สามารถลดการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ใบหน้า จึงทำให้ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ลดลง
-ช่วยให้ริ้วรอยลึกตื้นขึ้น และป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่
-เสริมการสร้างผิวชั้นนอกให้แข็งแรง
-ปกป้องผิวให้สามารถรับมือกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง
-ริ้วรอยดูลดเลือน
ผิวชุ่มชื่นด้วย โกรทแฟคเตอร์ จาก กุหลาบ Rose Growth Factor
-ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
-ช่วยกักเก็บน้ำ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี
-ปกป้องผิวจากความแห้งกร้านและริ้วรอย
-ลดการสูญเสียน้ำออกนอกผิว โดยเพิ่มหน้าที่เป็นตัวเคลือบผิวตามธรรมชาติ
ผิวเรียบเนียนด้วย โกรทแฟคเตอร์ จาก ใบบัวบก Centella Growth Factor
-เป็นสาร Antioxidant ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
-ช่วยในการสร้างคอลลาเจนในผิว
-ช่วยในการสมานแผล จึงทำให้เป็นสาร Anti-aging ได้อย่างดี ทำให้ผิวกระชับและมีความยืดหยุ่น
-สามารถใช้ได้หลังการทำเลเซอร์ เพื่อช่วยลดการอักเสบและช่วยให้การฟื้นฟูสภาพผิวเร็วขึ้น
ต้านอนุมูลอิสระและปกป้องผิวด้วย โกรทแฟคเตอร์ จาก องุ่นแดง Red Grape Growth Factor
-มีคุณสมบัติในการปกป้อง และซ่อมแซมผิวจากอันตรายของแสงแดด
-ช่วยต่อต้านแสงยูวี
-ทำให้เซลล์แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
-ปกป้องผิวจากการรบกวนจากสิ่งแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดอาการอักเสบของผิว
-ทำให้เซลล์กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
อาการปวดตามตัว บิม100 โรคข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบ ข้อเสื่อม
อาการปวดตามตัว บิม100 โรคข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบ ข้อเสื่อม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
โรคข้อเข่าเสื่อม คือ ภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเข่า มีการสึกหรอและเสื่อมอย่างช้าๆ และจะเป็นมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด มีเสียงดังในเข่า เข่าผิดรูปไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง ปัญหาปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ง่าย
สาเหตุหลักๆ ได้แก่
เป็นผลจากความเสื่อม และการใช้เข่าที่ไม่ถูกต้องมานาน
ความอ้วน น้ำหนักตัวมากๆ ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น
เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณเข่ามาก่อน เช่น กระดูกบริเวณเข่าหัก, ข้อเข่าเคลื่อนหลุด, เส้นเอ็นฉีกขาด หรือ หมอนรองเข่าฉีกขาด
โรคข้ออักเสบ เช่น โรคเก๊าท์ หรือ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
ข้อเข่าเสื่อม
อาการเริ่มแรกที่เตือนให้รู้ว่าเข่ากำลังมีปัญหา
เจ็บปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจเป็นปวดแบบเมื่อยๆ พอทน ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือในรายที่เข่าได้รับบาดเจ็บ จะปวดแบบเฉียบพลันและปวดรุนแรง
เข่าบวม เข่าที่บวมทันทีภายหลังจากได้รับบาดเจ็บ มักเกิดจากมีเลือดออกภายในข้อเข่า บวมที่เกิดขึ้นช้าๆ มักเกิดจากมีความผิดปกติขององค์ประกอบภายในข้อเอง
เข่าอ่อนหรือเข่าสะดุดติด อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากมีบางสิ่งบางอย่างภายในข้อ ทำให้งอ หรือเหยียดเข่าในทันทีทันใดไม่ได้ เช่น เส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนที่ฉีกขาด หรือเศษกระดูกที่หยุดอยู่ในข้อ
เข่าฝืดหรือยึดติด อาจเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน นั่งนานๆ แล้วลุกขึ้น หรือเกิดขึ้นภายหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า
เมื่อปรากฎอาการดังกล่าวแล้วแสดงว่า ท่านเริ่มมีปัญหาของข้อเข่า ควรให้ความสนใจอย่างจริงจัง และพิจารณาดูว่า มีอะไรเป็นสาเหตุดังกล่าว จะเป็นต้องเริ่มต้นฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อของข้อเข่าให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะให้หลักประกันได้ว่า ท่านจะสามารถยืนและเดินอยู่บนขา และเข่าของตนเองได้ตลอดไป
น้ำมังคุด ช่วย โรคข้อเข่าเสื่อม บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด
น้ำมังคุด ช่วย โรคข้อเข่าเสื่อม บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
อาการเข่าเสื่อม
เมื่อต้องเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมบางอย่าง จะทำให้มีอาการเจ็บปวดและรู้สึกฝืดที่ข้อเข่า ทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก รวมไปถึงเมื่อไม่ได้เคลื่อนไหวนาน ๆ ก็อาจทำให้เจ็บปวดและรู้สึกฝืดขัดที่ข้อเข้าได้เช่นกัน อาการอื่น ๆ ของเข่าเสื่อม ได้แก่
เมื่อต้องเคลื่อนไหวจะมีเสียงเสียงลั่นในข้อ
มีอาการกดเจ็บ
เข่าอ่อนแรงและเสียมวลกล้ามเนื้อ
ข้อเข่าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่ เสียความยืดหยุ่น ข้อติดหรือขยับได้ยาก มักจะเกิดขึ้นเวลาเช้าหรือต้องนั่งเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความยากลำบากเวลาเดิน ขึ้นบันได หรือลุกจากเก้าอี้
ผู้ที่มีอาการสำคัญของเข่าเสื่อม เช่น อาการเจ็บปวด ข้อเข่าฝืด รวมไปถึงอาการที่กล่าวไปข้างต้น หากมีอาการติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและหาทางรักษา เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้อาการมีความรุนเแรงยิ่งขึ้น
สาเหตุของเข่าเสื่อม
สาเหตุของเข่าเสื่อม เกิดจากกระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่ปกป้องส่วนปลายกระดูกข้อต่อเสื่อมลง ซึ่งทำให้เกิดอาการที่ได้กล่าวในข้างต้นตามมา เข่าเสื่อมที่มาจากสาเหตุอื่นหรือไม่ทราบสาเหตุ มีดังต่อไปนี้
อายุ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งความเสี่ยงในการเกิดเข่าเสื่อมจะมีมากขึ้นเมื่อมีอายุที่มากขึ้น แต่ก็สามารถเกิดกับผู้ที่อายุยังน้อยได้เช่นกัน โดยความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีอายุ 40 ปี ขึ้นไป
การบาดเจ็บ ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ และแม้ว่าจะได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเข่าเสื่อมได้ในอนาคต
เพศ เพศหญิงมีโอกาสเกิดเข่าเสื่อมได้มากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปี ขึ้นไป แต่ในกรณีนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน อาจทำให้ข้อต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อเข่าต้องรับน้ำหนัก 3-4 เท่าต่อน้ำหนักตัว ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้เข่าเสื่อมได้เมื่อเวลาผ่านไป
กรรมพันธุ์ ผู้ป่วยข้ออักเสบบางรายจะพบว่ามีประวัติของคนในครอบครัวเป็นโรคเข่าเสื่อม
เกิดจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ๆ เข่าเสื่อมอาจมีสาเหตุจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ๆ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดการทำลายของข้อต่อ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เก๊าท์
นอกจากนั้น ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องยกของหนักหรือแบกรับน้ำหนักมาก ๆ เป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน ก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเข่าเสื่อมได้มากขึ้น
อาการปวดอักเสบข้อเข่า บิม100 น้ำมังคุด ช่วย โรคข้อเข่าเสื่อม
อาการปวดอักเสบข้อเข่า บิม100 น้ำมังคุด ช่วย โรคข้อเข่าเสื่อม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
เข่าเสื่อม (Knee Ostoearthritis) เกิดจากความเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่ข้อเข่า โดยมีสาเหตุสำคัญคืออายุที่มากขึ้น รวมไปถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น มีน้ำหนักตัวมาก เกิดอาการบาดเจ็บ หรือกรรมพันธุ์
เข่าเสื่อม
เข่าเสื่อมจะพบมากในวัยกลางคนจนไปถึงผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการรักษา โรคก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และเมื่อมีการเคลื่อนไหวก็จะทำให้เกิดการเสียดสีจนสึกกร่อน รู้สึกฝืดที่ข้อเข่า เข่าผิดรูปและทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือทำให้เกิดความยากลำบากและความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน
อาการเข่าเสื่อม
เมื่อต้องเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมบางอย่าง จะทำให้มีอาการเจ็บปวดและรู้สึกฝืดที่ข้อเข่า ทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก รวมไปถึงเมื่อไม่ได้เคลื่อนไหวนาน ๆ ก็อาจทำให้เจ็บปวดและรู้สึกฝืดขัดที่ข้อเข้าได้เช่นกัน อาการอื่น ๆ ของเข่าเสื่อม ได้แก่
เมื่อต้องเคลื่อนไหวจะมีเสียงเสียงลั่นในข้อ
มีอาการกดเจ็บ
เข่าอ่อนแรงและเสียมวลกล้ามเนื้อ
ข้อเข่าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มที่ เสียความยืดหยุ่น ข้อติดหรือขยับได้ยาก มักจะเกิดขึ้นเวลาเช้าหรือต้องนั่งเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความยากลำบากเวลาเดิน ขึ้นบันได หรือลุกจากเก้าอี้
ผู้ที่มีอาการสำคัญของเข่าเสื่อม เช่น อาการเจ็บปวด ข้อเข่าฝืด รวมไปถึงอาการที่กล่าวไปข้างต้น หากมีอาการติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและหาทางรักษา เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้อาการมีความรุนเแรงยิ่งขึ้น
สาเหตุของเข่าเสื่อม
สาเหตุของเข่าเสื่อม เกิดจากกระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่ปกป้องส่วนปลายกระดูกข้อต่อเสื่อมลง ซึ่งทำให้เกิดอาการที่ได้กล่าวในข้างต้นตามมา เข่าเสื่อมที่มาจากสาเหตุอื่นหรือไม่ทราบสาเหตุ มีดังต่อไปนี้
อายุ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งความเสี่ยงในการเกิดเข่าเสื่อมจะมีมากขึ้นเมื่อมีอายุที่มากขึ้น แต่ก็สามารถเกิดกับผู้ที่อายุยังน้อยได้เช่นกัน โดยความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีอายุ 40 ปี ขึ้นไป
การบาดเจ็บ ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ และแม้ว่าจะได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเข่าเสื่อมได้ในอนาคต
เพศ เพศหญิงมีโอกาสเกิดเข่าเสื่อมได้มากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปี ขึ้นไป แต่ในกรณีนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน อาจทำให้ข้อต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อเข่าต้องรับน้ำหนัก 3-4 เท่าต่อน้ำหนักตัว ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้เข่าเสื่อมได้เมื่อเวลาผ่านไป
กรรมพันธุ์ ผู้ป่วยข้ออักเสบบางรายจะพบว่ามีประวัติของคนในครอบครัวเป็นโรคเข่าเสื่อม
เกิดจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ๆ เข่าเสื่อมอาจมีสาเหตุจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น ๆ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดการทำลายของข้อต่อ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เก๊าท์
นอกจากนั้น ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องยกของหนักหรือแบกรับน้ำหนักมาก ๆ เป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน ก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเข่าเสื่อมได้มากขึ้น
ดูแลสุขภาพโรคข้อเข่าเสื่อม BIM100 ลดอาการข้อเข่าอักเสบ
ดูแลสุขภาพโรคข้อเข่าเสื่อม BIM100 น้ำมังคุด ลดอาการข้อเข่าอักเสบ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
“โรคข้อเข่าเสื่อม” เกิดจากการใช้งานข้อต่อเนื่องยาวนานจนทำให้กระดูกอ่อน ผิวข้อสึกกร่อน ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดข้อขณะเคลื่อนไหว เข่าผิดรูปโก่งงอ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
เกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อม น่าสนใจว่า...ปัจจุบันไม่เฉพาะคนแก่เท่านั้นที่เป็น คนกลางคน...ก็เป็นได้ นพ.ศริษฏ์ หงษ์วิไล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ศูนย์ข้อสะโพกและข้อเข่ากรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ บอกว่า จริงๆแล้ว สถิติคนไทยป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ข้อมูล ณ ปี 2553 เป็นอยู่ 6-7 ล้านคน
ปัญหาสำคัญมีว่า...พอเป็นโรคแล้วส่งผลกระทบในเรื่องคุณภาพชีวิต มากขึ้น พบว่า ที่พบเพิ่มขึ้นตั้งแต่อายุ 45 ปีก็เริ่มมีอุบัติการณ์ที่เป็นข้อเข่าเสื่อมสูงขึ้น มีรายงานบ่อยขึ้น...อาจจะยังเป็นจำนวนไม่มาก แต่ก็เกิดขึ้นได้
สาเหตุที่เกิดมีอยู่ 2 หลักใหญ่ๆ หนึ่ง...แรงที่กระทำกับข้อเยอะเกินปกติและเป็นเวลานาน เช่น ในกลุ่มที่เป็นนักวิ่งมาราธอน จะพบว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นข้อเข่าเสื่อมในอนาคตจะสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่าตัว
ถัดมา...กลุ่มที่มีพยาธิสภาพในข้อเข่า เช่น มีอุบัติเหตุมาก่อน อาจจะมีกระดูกหักหรือมีผิวกระดูกที่บาดเจ็บมาก่อน อย่างนักฟุตบอลที่เอ็นฉีกขาด ทำให้พยาธิสภาพในเข่าเปลี่ยนแปลงไปไม่สมดุล เสียความมั่นคง
อีกปัจจัยก็คือ “โรคประจำตัว” เช่น พวกที่เป็นรูมาตอยด์...ข้ออักเสบอยู่บ่อยๆ ก็อาจจะทำให้ข้อเสื่อม สึกได้เร็วขึ้น ในกลุ่มคนอายุน้อยจะพบสาเหตุใหญ่ๆก็คือ เกิดอุบัติเหตุมาก่อน กระดูกหัก ทำให้แนวแกนขาเปลี่ยนไป อาจเป็นกระดูกหน้าแข้ง กระดูกต้นขาหัก หรือกระดูกตรงเข่าหัก ทำให้การรับแรงเปลี่ยนไปเกิดเสื่อมสึกได้
กรณีถัดมาก็จะเป็นกลุ่มที่มีโรคประจำตัวอย่างที่กล่าวไปแล้ว รวมถึงโรคเลือดบางชนิดที่ไม่ค่อยพบในเมืองไทย เช่น เลือดข้นผิดปกติ อย่างที่สามพวกที่เรียกว่า ดื่มเหล้า สูบบุหรี่เยอะ จะทำให้กระดูกตายได้
“หลักๆในบ้านเราจะเป็นเช่นนี้ น้ำหนักเยอะก็เป็นปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะบีเอ็มไอที่เกิน 40 จริงๆน้ำหนักเกินมากไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าเกินบีเอ็มไอ 40 จะเป็นเยอะเลย...โอกาสที่เป็นสูงขึ้นเยอะ”
อาการแรกของคนที่เป็นข้อเข่าเสื่อมจะเริ่มจากปวดเข่าบ่อยๆ แต่การปวดแบบนี้ก็มีหลายลักษณะหลายแบบ...ปวดเวลาทำอะไร ส่วนมากข้อเข่าเสื่อมจะปวดตอนนั่งยอง นั่งคุกเข่า พับเพียบ จะเริ่มปวด
หรือ...ปวดตอนขึ้นลงบันได รู้สึกปวดมาก อยู่ท่านั้นนานๆไม่ไหว อาจจะต้องปรึกษา คุยกับคุณหมอดูว่า...เริ่มเป็นเข่าเสื่อมแล้วหรือยัง หรือว่าเป็นอย่างอื่น ก็มีโอกาสเป็นได้หรือยัง สัญญาณต่อมาก็คืออาจจะมีเข่าบวม เข่าอุ่น...บวมร้อน ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีการอักเสบตรงข้อเข่า ข้อเข่ามีปัญหา
คุณหมอศริษฏ์ บอกอีกว่า การแบ่งระยะสำหรับข้อเข่าเสื่อมจะใช้ภาพเอกซเรย์เป็นหลักในการบอก ซึ่งจะมีตั้งแต่ข้อเข่าปกติ ข้อเข่าเสื่อมระยะต้น หรือว่าเสื่อมเล็กน้อย เสื่อมปานกลาง แล้วก็รุนแรง
“ตรงนี้ต้องเข้าใจต่อไปอีกว่า ตัวที่เอกซเรย์ว่าเป็นมากเป็นน้อยบอกระยะของอาการเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าเราควรต้องทำอย่างไร...การวินิจฉัยหลักๆก็คือ การอ่านประวัติแล้วก็ตรวจร่างกาย เอกซเรย์เหมือนเป็นตัวยืนยัน ว่า...ใช่ แล้วก็ช่วยบอกว่าเป็นระยะไหนเท่านั้น ระยะต้น...ระยะกลาง หรือว่ารุนแรงแล้ว”
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
BIM100 น้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล ช่วย โรคจอประสาทตาเสื่อม
BIM100 น้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล ช่วย โรคจอประสาทตาเสื่อม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
ผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรได้รับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะผู้สูงอายุแม้ว่าจะไม่มี
โรคประจำตัวใดๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิดโรค "ศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ" ได้
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติบริเวณจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา
ทำให้สูญเสียการมองเห็นเฉพาะภาพตรงกลาง โดยที่ภาพด้านข้างของการมองเห็นยังดีอยู่ พบมากในผู้ที่มีอายุ 65 ปี
ขึ้นไป ซึ่งโรคนี้เป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะทำให้การมองเห็นลดลงจนอาจทำให้ตาบอดได้อย่าง
รวดเร็วภายใน 2 ปี หากไม่ได้รับการรักษา และหากพบว่าเป็นโรคนี้ในตาข้างหนึ่งข้างใดแล้ว จะมีความเสี่ยงสูงมากกว่า
40% ที่จะเกิดกับตาอีกข้างหนึ่งภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากที่เคยเป็นในตาข้างแรกแล้ว
สาเหตุของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม
ปัจจัยเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่
1. อายุ สามารถพบได้ในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป
2. พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ควรได้รับการตรวจเช็คจอประสาทตาทุก 1 ปี
3. เชื้อชาติและเพศ พบโรคนี้ได้มากในคนต่างชาติ ยุโรป, อเมริกา และเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
4. การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
5. ภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตและมีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง
ระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD)
6. วัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและไม่ได้รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน มักมีความเสี่ยงสูง
ในการเป็นโรคนี้
ชนิดของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม
1. แบบแห้ง (Dry AMD)
เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เกิดจากการเสื่อมและบางตัวลงของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา (Macular)
จากกระบวนการเสื่อมตามอายุ อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง คือ การมองเห็นภาพเบลอ
ทำให้มองเห็นหน้าคนไม่ชัดเจน เป็นผลให้จำหน้าบุคคลไม่ได้ หรือต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆ หรือ
ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเริ่มจากตามัวเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสามารถในการมองเห็นจะค่อยๆ ลดลง
และเป็นไปอย่างช้าๆ
2. แบบเปียก (Wet AMD)
พบประมาณ 10 - 15 % ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่จะสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุ
สำคัญของอาการตาบอดในโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตา
ทำให้เลือดและของเหลวที่อยู่ภายในไหลซึมออกมา เป็นผลให้จุดศูนย์กลางการรับภาพบวม ผู้ป่วยจะเริ่มมองเห็นภาพ
ตรงกลางบิดเบี้ยว และเมื่อเซลล์ประสาทตาตาย ผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็นในที่สุด อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลาง
จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก คือ เริ่มเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นโค้งบิดเบี้ยว เห็นภาพสีซีดจางกว่าปกติ และอาจเห็น
จุดมืดดำที่ตรงกลางภาพ
ผู้ป่วยที่ตรวจพบว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม สามารถสังเกตความผิดปกติ
ด้วยตัวเองได้ โดยการใช้แผ่นทดสอบ "แอมส์เลอร์กริด" (Amsler Grid) โดยไม่ต้องถอดแว่นตา หรือ คอนแทคเลนส์ที่
ใส่อยู่ออก โดยนำแผ่นทดสอบไปติดบนผนังที่มีแสงสว่างเพียงพอในระดับสายตา ยืนห่างจากแผ่นภาพประมาณ 14 นิ้ว
ใช้มือปิดตาข้างหนึ่งไว้แล้วมองที่จุดสีดำตรงกลางแผ่นทดสอบด้วยตาข้างที่เปิดอยู่ ทำซ้ำเช่นเดียวกันกับตาอีกข้าง หาก
มองเห็นลายเส้นตรงบนแผ่นทดสอบ มีลักษณะเป็นคลื่น หงิกงอ ขาดจากกัน พร่ามัว หรือบางพื้นที่หายไปจากที่มองเห็น
ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์ จักษุแพทย์จะทำการตรวจโดยใช้กล้อง Slit Lamp Biomicroscope และตรวจ
พิเศษด้วยการฉีดสีเพื่อถ่ายภาพจอประสาทตา หรือเข้าเครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางจอประสาทตา เพื่อดูลักษณะและ
ขอบเขตความผิดปกติที่เกิดขึ้น
อาการตาอักเสบ บิม100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคจอประสาทตาเสื่อม
อาการตาอักเสบ บิม100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคจอประสาทตาเสื่อม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD) มีจุดสีเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตาซึ่งเรียกว่า ดรูเซ่น (Drusen) สะสมอยู่ใต้จอประสาทตา จุดสีเหลืองนี้ทำลายเซลล์รับแสง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่บิดเบี้ยว โรคมักแสดงอาการอย่างช้า ๆ และในบางกรณีอาจกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD) พบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดฝอยด้านหลังจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลไปโดนจุดรับภาพ ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างมากทั้งแบบถาวรและเฉียบพลัน
อาการจอประสาทตาเสื่อม
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง อาการในช่วงแรก ผู้ป่วยอาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ เมื่อเวลาผ่านไป จุดดำในภาพจะเริ่มขยายใหญ่ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้อ่านหนังสือลำบากหรือมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดเปียก ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพบิดเบี้ยว พร่ามัว เห็นจุดดำขนาดใหญ่ในภาพซึ่งเป็นผลมาจากการที่เลือดไหลไปอยู่ในจุดรับภาพ
อาการโดยทั่วไปที่เหมือนกันของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้ง 2 ประเภท มีดังนี้
มองภาพบิดเบี้ยว
มองในที่สว่างไม่ชัด หรือแพ้แสง
ปรับสายตาจากการมองเห็นในที่มืดมาที่สว่างไม่ค่อยได้
สูญเสียความสามารถในการมองเห็น ตามัว มีจุดดำหรือเงาบังอยู่ตรงกลางภาพ
เห็นสีผิดเพี้ยน
สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อม
โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นไปตามวัย สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงกลางจอประสาทตามีปัญหา โดยจุดรับภาพนี้เป็นจุดที่มีความไวต่อแสง ช่วยในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดของจอประสาทตา
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง เกิดจากเซลล์รับแสงในจุดรับภาพเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น อาจมีของเสียสะสมอยู่ในจอประสาทตาซึ่งเรียกว่าดรูเซ่น และเซลล์รับแสงในจุดรับภาพมีจำนวนน้อยลง การมองเห็นบริเวณกลางภาพแย่ลง ทำให้ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเมื่อต้องอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมระยะใกล้
จอประสาทเสื่อมชนิดเปียก เส้นเลือดฝอยเกิดใหม่ใต้จุดรับภาพขยายจำนวนมากขึ้น ถ้าเส้นเลือดฝอยก่อตัวผิดตำแหน่ง ทำให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะของเหลวในเส้นเลือดจะไหลซึมเข้าตา และทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของบริเวณจุดรับภาพลดลง
บิม100 ปัญหาอาการตาอักเสบ สาเหตุของโรคตาเสื่อม
บิม100 ปัญหาอาการตาอักเสบ สาเหตุของโรคตาเสื่อม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
ผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรได้รับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะผู้สูงอายุแม้ว่าจะไม่มี
โรคประจำตัวใดๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิดโรค "ศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ" ได้
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติบริเวณจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา
ทำให้สูญเสียการมองเห็นเฉพาะภาพตรงกลาง โดยที่ภาพด้านข้างของการมองเห็นยังดีอยู่ พบมากในผู้ที่มีอายุ 65 ปี
ขึ้นไป ซึ่งโรคนี้เป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะทำให้การมองเห็นลดลงจนอาจทำให้ตาบอดได้อย่าง
รวดเร็วภายใน 2 ปี หากไม่ได้รับการรักษา และหากพบว่าเป็นโรคนี้ในตาข้างหนึ่งข้างใดแล้ว จะมีความเสี่ยงสูงมากกว่า
40% ที่จะเกิดกับตาอีกข้างหนึ่งภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากที่เคยเป็นในตาข้างแรกแล้ว
สาเหตุของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม
ปัจจัยเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่
1. อายุ สามารถพบได้ในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป
2. พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ควรได้รับการตรวจเช็คจอประสาทตาทุก 1 ปี
3. เชื้อชาติและเพศ พบโรคนี้ได้มากในคนต่างชาติ ยุโรป, อเมริกา และเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
4. การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
5. ภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตและมีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง
ระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD)
6. วัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและไม่ได้รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน มักมีความเสี่ยงสูง
ในการเป็นโรคนี้
ชนิดของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม
1. แบบแห้ง (Dry AMD)
เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เกิดจากการเสื่อมและบางตัวลงของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา (Macular)
จากกระบวนการเสื่อมตามอายุ อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง คือ การมองเห็นภาพเบลอ
ทำให้มองเห็นหน้าคนไม่ชัดเจน เป็นผลให้จำหน้าบุคคลไม่ได้ หรือต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆ หรือ
ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเริ่มจากตามัวเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสามารถในการมองเห็นจะค่อยๆ ลดลง
และเป็นไปอย่างช้าๆ
2. แบบเปียก (Wet AMD)
พบประมาณ 10 - 15 % ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่จะสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุ
สำคัญของอาการตาบอดในโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตา
ทำให้เลือดและของเหลวที่อยู่ภายในไหลซึมออกมา เป็นผลให้จุดศูนย์กลางการรับภาพบวม ผู้ป่วยจะเริ่มมองเห็นภาพ
ตรงกลางบิดเบี้ยว และเมื่อเซลล์ประสาทตาตาย ผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็นในที่สุด อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลาง
จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก คือ เริ่มเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นโค้งบิดเบี้ยว เห็นภาพสีซีดจางกว่าปกติ และอาจเห็น
จุดมืดดำที่ตรงกลางภาพ
ผู้ป่วยที่ตรวจพบว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม สามารถสังเกตความผิดปกติ
ด้วยตัวเองได้ โดยการใช้แผ่นทดสอบ "แอมส์เลอร์กริด" (Amsler Grid) โดยไม่ต้องถอดแว่นตา หรือ คอนแทคเลนส์ที่
ใส่อยู่ออก โดยนำแผ่นทดสอบไปติดบนผนังที่มีแสงสว่างเพียงพอในระดับสายตา ยืนห่างจากแผ่นภาพประมาณ 14 นิ้ว
ใช้มือปิดตาข้างหนึ่งไว้แล้วมองที่จุดสีดำตรงกลางแผ่นทดสอบด้วยตาข้างที่เปิดอยู่ ทำซ้ำเช่นเดียวกันกับตาอีกข้าง หาก
มองเห็นลายเส้นตรงบนแผ่นทดสอบ มีลักษณะเป็นคลื่น หงิกงอ ขาดจากกัน พร่ามัว หรือบางพื้นที่หายไปจากที่มองเห็น
ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์ จักษุแพทย์จะทำการตรวจโดยใช้กล้อง Slit Lamp Biomicroscope และตรวจ
พิเศษด้วยการฉีดสีเพื่อถ่ายภาพจอประสาทตา หรือเข้าเครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางจอประสาทตา เพื่อดูลักษณะและ
ขอบเขตความผิดปกติที่เกิดขึ้น
BIM100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สมุนไพรช่วยโรคตาเสื่อม
BIM100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สมุนไพรช่วยโรคตาเสื่อม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (AMD) ทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ AMD
ความชราเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ทุกคน ความชราส่งผลกระทบให้เกิดความเสื่อมของร่างกายแตกต่างกันไปในแต่ะคน ความเสื่อมของดวงตาอาจเริ่มเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 40 ปี หนึ่งในสามของคนอายุ 70 ปีขึ้นไป มีอาการของโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ หรือที่เรียกว่า AMD
AMD คืออะไร
โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ เป็นภาวะที่มีความเสื่อมของจอตาบริเวณที่เรียกว่า Macular ซึ่งคือจุดตรงกลางจอตาที่ทำหน้าที่รับภาพ ความเสื่อมของ macular นี้เชื่อว่าเกิดจากการที่เซลล์ตาขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดการก่อตัวของโปรตีนบางชนิด ซึ่งเรียกว่า vascular endothelial growth factor (VEGF) เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดขึ้นใหม่ กระบวนการนื้ทำให้มีเส้นเลือดใหม่งอกขึ้นมาในบริเวณจอตา ซึ่งในสภาวะปกติไม่ควรมีเส้นเลือดเช่นนี้เกิดขึ้น
จุดภาพชัด หรือ macular มีบทบาทสำคัญมากในการมองเห็นในชีวิตประจำวันของเรา เพราะเป็นอวัยวะส่วนที่ทำให้เรามองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน สามารถอ่านหนังสือ จำหน้าคนได้ มองจอคอมพิวเตอร์ได้ ขับรถได้ และทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้สายตาได้ เช่นดูหนัง หรือเล่นเกม
อาการของ AMD ประกอบด้วย:
ตามัว - ไม่สามารถแยกแยะวัตถุต่างๆ ที่มองเห็นได้
ตาบอดสี - เห็นสีสดเป็นสีมัวๆ หรือเห็นสีผิดเพี้ยนไป
เห็นภาพบิดเบี้ยว - อาจมองเห็นเส้นตรงเป็นคลื่น
จุดบอด - มองไม่เห็นบางส่วนของใบหน้าคน หรือวัตถุที่อยู่ตรงหน้า
ตาไวต่อแสง - ปวดตาเมื่อมองแสงจ้า
AMD มี 2 ประเภท คือ:
ชนิดแห้ง (ไม่มีเส้นเลือดเกิดใหม่) - AMD ชนิดแห้ง พบได้บ่อยกว่า ผู้ป่วยประมาณ 85-90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย AMD ทั้งหมด เป็นแบบชนิดแห้ง เมื่อตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของโรค จะมีลักษณะที่ตรวจพบ คือ จอตาเริ่มจะบางลง หรือพบว่ามีตะกอนของเม็ดสีกระจายตัวอยู่บริเวณเรติน่า ที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็น (จุดบอด) หรือตรวจพบทั้งสองกรณี ตะกอนของเม็ดสีนี้มองเห็นเป็นจุดสีเหลือง (ทางการแพทย์เรียกว่าดรูเซ่น) และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามีการสะสมตัวของเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติ
ชนิดปียก (มีเส้นเลือดเกิดใหม่) - เกิดขึ้นเมื่อ AMD ชนิดแห้งลุกลาม โรค AMD ชนิดเปียก คือโรคจอตาเสื่อมขั้นรุนแรง มีเส้นเลือดเกิดใหม่บริเวณส่วนล่างของจอตาและฉีกขาด ทำให้เลือดหรือของเหลวกระจายไปในจุดรับภาพ ซึ่งการรั่วซึมนี้สามารถส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการมองเห็นขั้นรุนแรง และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรในที่สุด และเมื่อเซลล์จอตาถูกทำลาย (จากการสะสมอย่างต่อเนื่องของเส้นเลือด หรือจากแสง) เซลล์จะตาย ทำให้เกิดเป็นจุดบอดในจุดรับส่วนกลาง
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม ตาอักเสบ
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคตาเสื่อม ตาอักเสบ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร 089-071-8889, 094-709-4444
Line ID : @jumbolife ((อย่าลืมใส่ @ ด้วยนะค่ะ))
หรือคลิกลิงค์ http://line.me/ti/p/%40jumbolife
จอประสาทตาเสื่อม (Age-Related Macular Degeneration: AMD) คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งโรคจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและประเภท
โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD) มีจุดสีเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตาซึ่งเรียกว่า ดรูเซ่น (Drusen) สะสมอยู่ใต้จอประสาทตา จุดสีเหลืองนี้ทำลายเซลล์รับแสง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่บิดเบี้ยว โรคมักแสดงอาการอย่างช้า ๆ และในบางกรณีอาจกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD) พบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดฝอยด้านหลังจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลไปโดนจุดรับภาพ ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างมากทั้งแบบถาวรและเฉียบพลัน
อาการจอประสาทตาเสื่อม
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง อาการในช่วงแรก ผู้ป่วยอาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ เมื่อเวลาผ่านไป จุดดำในภาพจะเริ่มขยายใหญ่ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้อ่านหนังสือลำบากหรือมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดเปียก ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพบิดเบี้ยว พร่ามัว เห็นจุดดำขนาดใหญ่ในภาพซึ่งเป็นผลมาจากการที่เลือดไหลไปอยู่ในจุดรับภาพ
อาการโดยทั่วไปที่เหมือนกันของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้ง 2 ประเภท มีดังนี้
มองภาพบิดเบี้ยว
มองในที่สว่างไม่ชัด หรือแพ้แสง
ปรับสายตาจากการมองเห็นในที่มืดมาที่สว่างไม่ค่อยได้
สูญเสียความสามารถในการมองเห็น ตามัว มีจุดดำหรือเงาบังอยู่ตรงกลางภาพ
เห็นสีผิดเพี้ยน
สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อม
โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นไปตามวัย สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงกลางจอประสาทตามีปัญหา โดยจุดรับภาพนี้เป็นจุดที่มีความไวต่อแสง ช่วยในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดของจอประสาทตา
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง เกิดจากเซลล์รับแสงในจุดรับภาพเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น อาจมีของเสียสะสมอยู่ในจอประสาทตาซึ่งเรียกว่าดรูเซ่น และเซลล์รับแสงในจุดรับภาพมีจำนวนน้อยลง การมองเห็นบริเวณกลางภาพแย่ลง ทำให้ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเมื่อต้องอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมระยะใกล้
จอประสาทเสื่อมชนิดเปียก เส้นเลือดฝอยเกิดใหม่ใต้จุดรับภาพขยายจำนวนมากขึ้น ถ้าเส้นเลือดฝอยก่อตัวผิดตำแหน่ง ทำให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะของเหลวในเส้นเลือดจะไหลซึมเข้าตา และทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของบริเวณจุดรับภาพลดลง
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
น้ำมังคุดดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง BIM100 ช่วย โรคมะเร็ง
น้ำมังคุดดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง BIM100 ช่วย โรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
โรคมะเร็งสาเหตุการตายอันดับ 1
ปัจจุบันประชาคมโลกได้ให้ความสำคัญกับโรคมะเร็งมากขึ้น ในแต่ละปีมะเร็งได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกในอัตราที่สูงมากขึ้น เพื่อให้คนทั่วโลกตระหนักถึงภัยร้ายจากโรคมะเร็ง รวมถึงรณรงค์ให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเอง องค์การอนามัยโลกและสมาคมต่อต้านมะเร็งสากลกำหนดให้ ทุกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นวันมะเร็งโลก (World Cancer Day) หลังจากพบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประชาคมโลกปีละกว่าสิบล้านคนซึ่งในจำนวนนี้มีคนอายุระหว่าง 30-69 ปีกว่าครึ่งที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร สะท้อนถึงแนวโน้มการเกิดโรคมากขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงาน อันสืบเนื่องมาจากวิถีการดำเนินชีวิตยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต
สำหรับในประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายสิบปี โดยจากข้อมูลล่าสุดพบคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละกว่า 67,000 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน และพบผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยราว 120,000 คนต่อปี ซึ่งพบมากที่สุดในเพศชาย คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่วน 5 อันดับโรคมะเร็งในผู้หญิงไทย ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
สาเหตุอะไรที่ทำให้เกิดมะเร็ง
ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งกว่าร้อยละ 90 เป็นสาเหตุจากปัจจัยภายนอก ไม่ใช่เรื่องพันธุกรรมในครอบครัวอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ปัจจัยภายนอกที่ว่านั้นคือพฤติกรรมการปฎิบัติตัวให้สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง มีดังนี้
พฤติกรรมการกินเนื้อสัตว์ประเภทปิ้งย่าง อาหารทอด อาหารไขมันสูง หรือรับประทานอาหารซ้ำ ๆ
การสูบบุหรี่
การดื่มสุรา
ความเครียด
การได้รับรังสี
ติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ
ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน
ความอ้วน
ไม่ออกกำลังกาย
ไม่ทานผัก-ผลไม้สด
เพราะมะเร็งบางชนิดไม่แสดงอาการ
อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าโรคมะเร็งจะเริ่มก่อตัวในร่างกาย มะเร็งบางชนิดอาจไม่มีความผิดปกติของร่างกายใดๆ ให้เห็น ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการการตรวจคัดกรอง (Screening for cancer) เป็นการตรวจโรคในระยะต้น สามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้ ปัจจุบันการตรวจคัดกรองมีประสิทธิผลสูงทั้งโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด และมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น
ตรวจพบเร็ว...รักษาทันท่วงที
ปัจจุบันโรคมะเร็งสามารถรักษาหายขาดได้ตั้งแต่ตรวจพบในระยะต้น จึงอยากให้ทุกคนตระหนักถึงการตรวจคัดกรองโรคและดูแลสุขภาพเพื่อให้ความสมบูรณ์ของร่างกายกลับคืนมาและลดการเจ็บป่วย
สำหรับผู้ชายหากท่านกำลังสูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่ระยะเวลาเฉลี่ยมากกว่า 20 ปีและมากกว่า 1 ซองต่อวัน ท่านควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดมากกว่าการทำภาพถ่าย X-Ray ปอด
สำหรับผู้ป่วยหญิง หากท่านอายุมากกว่า 40ปี นอกจากการตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำแล้วควรได้รับการตรวจโดยแพทย์และตรวจด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านม Mammography ทุก 1-2 ปี อาจใช้การตรวจอัลตร้าซาวด์ร่วมด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการตรวจคัดกรอง
ทั้งผู้ป่วยชายและหญิงที่อายุมากกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้น ยิ่งหากมีประวัติญาติสายตรงใกล้ชิดกันเป็น แนะนำควรรับคำปรึกษาการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจหาความผิดปกติที่ลำไส้ได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกนั้นสามารถลดอัตราการตายจากโรคมะเร็งลำไส้ได้อย่างชัดเจน
ปัญหาโรคมะเร็ง บิม100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ปัญหาโรคมะเร็ง บิม100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง
เมื่อร่างกายได้รับสารก่อมะเร็ง เช่น สารเคมี ไวรัส รังสี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงและในที่สุดเซลล์ปกติก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ถ้าระบบภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถทำลายเซลล์นั้นได้ เซลล์มะเร็งก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นก้อนมะเร็งต่อไป
สาเหตุของโรคมะเร็ง
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่เชื่อว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งอยู่หลายประการ ดังนี้
1. สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย
1.1 สารเคมีบางชนิด เช่น
สารเคมีในควันบุหรี่ และเขม่ารถยนต์
สารพิษจากเชื้อรา
สารพิษที่เกิดจากเนื้อสัตว์รมควัน ปิ้ง ย่าง ทอด จนไหม้เกรียม
สีย้อมผ้า
สารเคมีบางชนิดที่เกิดจากขบวนการทางอุตสาหกรรม
1.2 รังสีต่างๆ รวมทั้งรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดด
1.3 การติดเชื้อเรื้อรัง เช่น
ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งตับ
ฮิวแมน แพพพิโลมา ไวรัส (Human Papilloma Virus หรือ HPV) อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งของเซลล์เยื่อบุต่างๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก
เอบสไตน์ บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus) มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งโพรงหลังจมูก
เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรัย (Helicobacter Pylori) มีความสัมพันธ์กับมะเร็งกระเพาะอาหาร
1.4 พยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ มีความสัมพันธ์กับมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
2. สาเหตุภายในร่างกาย เช่น
2.1 กรรมพันธ์ที่ผิดปกติ
2.2 ความไม่สมดุลทางฮอร์โมน
2.3 ภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง
2.4 การระคายเคืองที่เกิดซ้ำๆ เป็นเวลานาน
2.5 ภาวะทุพโภชนาการ เป็นต้น
อาการของโรคมะเร็ง
ไม่มีอาการเฉพาะของโรคมะเร็ง แต่เป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบของเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง โดยที่แตกต่างคือ มักเป็นอาการที่แย่ลงเรื่อยๆ และเรื้อรัง ดังนั้นเมื่อมีอาการต่างๆ นานเกิน 1 – 2 สัปดาห์ จึงควรรีบพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม อาการที่น่าสงสัยว่าเป็นมะเร็ง ได้แก่
มีก้อนเนื้อโตเร็ว หรือ มีแผลเรื้อรัง ไม่หายภายใน 1 – 2 สัปดาห์ หลังจากการดูแลตนเองในเบื้องตัน
มีต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ มักจะแข็ง ไม่เจ็บ และโตขึ้นเรื่อยๆ
ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วผิดปกติ หรือ เป็นแผลแตก
หายใจ หรือ มีกลิ่นปากรุนแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงข้างเดียว (อาจออกทั้งสองข้างได้)
ไอเรื้อรัง หรือ ไอเป็นเลือด
มีเสมหะ น้ำลาย หรือ เสลดปนเลือดบ่อย
อาเจียนเป็นเลือด
ปัสสาวะเป็นเลือด
ปัสสาวะบ่อย ขัดลำ ปัสสาวะเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
อุจจาระเป็นเลือด มูก หรือเป็นมูกเลือด
ท้องผูก สลับท้องสีย โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ หรือ มีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน
ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น อึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
มีไข้ต่ำๆ หาสาเหตุไม่ได้
มีไข้สูงบ่อย หาสาเหตุไม่ได้
ผอมลงมากใน 6 เดือน น้ำหนักลดลงจากเดิม 10%
มีจ้ำห้อเลือดง่าย หรือ มีจุดแดงคล้ายไข้เลือดออกตามผิวหนังบ่อย
ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/ขาอ่อนแรง หรือ ชักโดยไม่เคยชักมาก่อน
ปวดหลังเรื้อรัง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ อาจร่วมกับ แขน/ขาอ่อนแรง
BIM100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล ช่วย โรคมะเร็ง
BIM100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล ช่วย โรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
ข้อมูลเบื้องต้น (General Information)
โรคมะเร็ง (Cancer) พบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่จะพบในอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ส่วนในวัยเด็กพบน้อยกว่าในผู้ใหญ่ประมาณ 10 เท่า
โรคมะเร็งที่พบบ่อยของชายไทย เรียงจากลำดับแรก 10 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็ง ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำเหลือง เม็ดเลือดขาว กระเพาะปัสสาวะ ช่องปาก กระเพาะอาหาร และหลอดอาหาร
โรคมะเร็งพบบ่อยของหญิงไทย เรียงจากลำดับแรก 10 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม ปากมดลูก ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่ รังไข่ เม็ดเลือดขาว ช่องปาก ต่อมไทรอยด์ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคมะเร็งพบบ่อยในเด็กไทย เรียงจากลำดับแรก 4 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเนื้องอก/มะเร็งสมอง และโรคมะเร็งนิวโรบลาสโตมา/Neuroblas toma (มะเร็งของประสาทซิมพาทีติก)
โรคมะเร็ง คือ โรคซึ่งเกิดมีเซลล์ผิดปกติในร่างกาย และเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตรวดเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเซลล์เหล่านี้จึงเจริญลุกลามและแพร่กระจายได้ทั่วร่างกายส่งผลให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ เหล่านั้นล้มเหลวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด ได้แก่ ปอด ตับ สมอง ไต กระดูก และไขกระดูก
สัญลักษณ์ของโรคมะเร็ง
“ปู” เป็นสัญลักษณ์ของโรคมะเร็ง คำว่า มะเร็ง หรือ Cancer มาจากภาษากรีก คือ Carcinos ซึ่งแปลว่า ปู (Crab) เนื่องจากก้อนเนื้อมะเร็งมีลักษณะลุกลามออกไปจากตัวก้อนเนื้อเหมือนกับขาปูที่ออกไปจากตัวปู ซึ่งคนแรกที่ใช้ศัพท์นี้ คือ ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก
เนื้องอก คือ ก้อน ตุ่ม ที่โตขึ้นผิดปกติ เกิดจากเซลล์หรือเนื้อเยื่อในร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ เนื้องอกชนิดธรรมดา และเนื้องอกชนิดร้ายหรือมะเร็ง
โรคมะเร็ง คือ โรคของเซลล์ ที่มีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติกลายเป็นก้อนมะเร็งซึ่งสามารถบุกรุก ทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียงและกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้
โรคมะเร็ง ต่างจากเนื้องอกที่ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็ง โตเร็วลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียง เข้าต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายเข้าหลอดเลือด/กระแสโลหิต/กระแสเลือด และหลอดน้ำเหลือง/กระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ ได้ทั่วร่างกาย โดยมักแพร่สู่ปอด ตับ สมอง กระดูก และไขกระดูก ดังนั้นโรคมะเร็งจึงเป็นโรคเรื้อรัง รุนแรง มีการรักาที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง
โรคเนื้องอก ได้แก่ มีก้อนเนื้อผิดปกติ แต่โตช้า ไม่ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง เพียงกดหรือเบียดเมื่อก้อนโตขึ้น ไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ไม่แพร่กระจายทางกระอสโลหิต และทางกระแสน้ำเหลือง จึงเป็นโรคที่รักาหายได้โดยเพียงการผ่าตัด
ดูแลสุขภาพโรคมะเร็งเต้านม BIM100 น้ำมังคุด ช่วย โรคมะเร็ง
ดูแลสุขภาพโรคมะเร็งเต้านม BIM100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ช่วย โรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
มะเร็งเต้านม เป็นโรคมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติส่วนใดส่วนหนึ่งภายในเต้านมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะลุกลามไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นของร่างกาย มะเร็งชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่พบในเพศชายในอัตราที่น้อยมาก
มะเร็งเต้านม
ภายในเต้านมของผู้หญิงจะประกอบไปด้วยต่อมผลิตน้ำนม ท่อน้ำนม เนื้อเยื่อไขมัน ท่อน้ำเหลือง เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือดต่าง ๆ ซึ่งเซลล์มะเร็งส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกิดขึ้นบริเวณต่อมผลิตน้ำนม (Lobules) และท่อน้ำนม (Ducts) มากกว่าส่วนอื่น การก่อตัวของมะเร็งเต้านมสามารถเกิดขึ้นได้กับเซลล์ทุกส่วนภายในเต้านมในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากเซลล์ผิดปกติมีการแบ่งตัวมากขึ้นเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถควบคุมได้ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง ระบบน้ำเหลือง และสุดท้ายกระจายไปยังกระแสเลือด และไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
ระยะของมะเร็งเต้านม
ระยะความรุนแรงของโรคมะเร็งเต้านมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนเนื้อ การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปสู่ต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
ระยะ 0-1: พบเซลล์ผิดปกติภายในเนื้อเยื่อเต้านม และก้อนเนื้อมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร แต่ยังจำกัดการเกิดเฉพาะภายในเต้านม ซึ่งเป็นระยะที่ยังไม่พบการลุกลามของโรคไปยังส่วนอื่น สำหรับระยะนี้มีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี เกือบ 100%
ระยะ 2: ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้น และอาจแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองเฉพาะบริเวณรักแร้ แต่จำนวนไม่กี่ต่อม หรืออาจไม่พบก้อนเนื้อ แต่พบเซลล์มะเร็งบริเวณต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ ซึ่งมีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 93%
ระยะ 3: เนื้อเยื่อเต้านมถูกมะเร็งทำลายเป็นบริเวณกว้างขึ้น ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้นมากกว่า 5 เซนติเมตร มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้และต่อมน้ำเหลืองอื่นในบริเวณใกล้เคียงเต้านม หรือก้อนเนื้อขยายใหญ่ขึ้นไม่เกิน 5 เซนติเมตร และมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองจำนวนมากขึ้น โดยอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปีของระยะนี้อยู่ที่ประมาณ 72%
ระยะ 4: โรคมีการแพร่กระจายเข้าหลอดเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ตับ สมอง ปอด กระดูก ซึ่งเป็นระยะที่รักษาไม่หายขาด และมีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 22%
สำหรับในประเทศไทย โรคมะเร็งเต้านมได้กลายมาเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในเพศหญิง จากเดิมที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็งปากมดลูก โดยรายงานล่าสุดจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปี 2557 จำนวนผู้ป่วยในทะเบียนรักษาโรคมะเร็งทั้งสิ้น 14,966 ราย โดยเป็นผู้ป่วยเพศชาย 162 ราย และผู้ป่วยเพศหญิง 14,804 ราย หรือนับเป็น 0.51 ราย และ 44.42 ราย ต่อประชากรไทย 100,000 คน ตามลำดับ ซึ่งคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น จะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ผู้ป่วยหายขาดได้มากขึ้น
อาการของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมในระยะแรกแทบไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยการคลำพบก้อนเนื้อในเต้านมหรือบริเวณรักแร้มากที่สุด อาการอื่น ๆ อาจสังเกตได้จากขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หัวนมบุ๋ม เป็นแผล อาจมีน้ำเหลืองหรือของเหลวสีคล้ายเลือดไหลออกมาหรือเป็นผื่นบริเวณหัวนม
สาเหตุของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเพศหญิง ทั้งจากสภาพแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมการใช้ชีวิต อายุที่มากขึ้น ผู้หญิงที่ไม่มีบุตร หรือมีช่วงระยะของการมีประจำเดือนนาน และอีกหลายปัจจัย ทั้งนี้บางปัจจัยสามารถแก้ไขได้ แต่บางปัจจัยไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือเชื้อชาติ เป็นต้น
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
BIM100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ช่วย โรคมะเร็งเต้านม
BIM100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ช่วย โรคมะเร็งเต้านม
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
"มะเร็งเต้านม" เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในผู้หญิง แนวโน้มคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้นทุกปีแต่ยังพบน้อยกว่าประเทศทางตะวันตกมาก โดยหญิงไทยมีอัตราการพบมะเร็งประมาณ 40 คน ในสตรีวัยเจริญพันธุ์ 100,000 คน ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศตะวันตกพบมะเร็งเต้านมได้มากกว่า 100 คน ในสตรีวัยเจริญพันธุ์ 100,000 คน ส่วนในผู้ชายก็พบมะเร็งเต้านมได้เช่นกันแต่ไม่บ่อยนัก โดยมีอุบัติการณ์ของโรคนี้น้อยกว่าผู้หญิงเกือบ 100 เท่า
มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่อยู่ภายในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลล์เหล่านี้มีการแบ่งตัวผิดปกติไม่สามารถควบคุมได้อาจมีการแพร่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลือง ไปสู่ต่อมน้ำเหลือง หรือแพร่กระจายไปสู่อวัยวะที่อยู่ห่างไกลเช่น กระดูก ปอด ตับ เป็นต้น การตรวจพบมะเร็งในระยะแรกจะช่วยให้การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูง
ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม
เพศ เพศหญิงมีฮอร์โมนเพศ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งสามารถกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ จึงมีโอกาสป่วยเป็นโรคได้มากกว่าเพศชายแต่ผู้ชายก็สามารถป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน โดยมีอุบัติการณ์ของโรคนี้น้อยกว่าผู้หญิงเกือบ 100 เท่า
อายุ ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
มีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านม โดยผู้ป่วยที่เกิดมะเร็งเต้านมขึ้นข้างหนึ่งมีความเสี่ยง 3 - 4 เท่า ในการที่จะเกิดก้อนมะเร็งขึ้นที่เต้านมอีกข้าง
ประวัติโรคทางเต้านมในอดีต โรคบางโรคที่มีการเจริญของเซลล์ผิดปกติในเต้านม สามารถที่จะเพิ่มความเสี่ยงหรือพัฒนากลายเป็นมะเร็งเต้านมได้ในอนาคต เช่น Atypical ductal hyperplasia (ADH) เป็นต้น
มีประวัติการเป็นมะเร็งรังไข่ เนื่องจากการเป็นมะเร็งรังไข่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสฮอร์โมน จึงเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม
มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น
การกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม แต่ยีนดังกล่าวก็พบได้เพียงร้อยละ 5 - 10 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด ดังนั้น หากตรวจยีนดังกล่าวแล้วปกติก็ยังมีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านมอยู่
การสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจน พบว่าการสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม
ประวัติประจำเดือน การมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้ากว่าอายุ 55 ปี ร่างกายของผู้หญิงจะมีช่วงเวลาสัมผัสกับฮอร์โมนเพศ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนมากขึ้นทำให้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น
การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร ผู้ป่วยที่ไม่เคยตั้งครรภ์ หรือมีบุตรคนแรกตอนอายุมากกว่า 30 ปี จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันการตั้งครรภ์หลายครั้งและมีบุตรตั้งแต่อายุน้อยสามารถลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้ และการให้นมบุตรเป็นเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป ก็อาจจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้เช่นกัน
ยาคุมกำเนิดและการใช้ฮอร์โมน ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ใช้ แต่ความเสี่ยงที่ว่านี้จะหมดไปหากหยุดใช้ยาเกิน 10 ปี
ลักษณะของการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ความอ้วน ขาดการออกกำลังกาย ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การรับประทานอาการที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ การได้รับรังสีในปริมาณสูง ภาวะเครียด
ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก บิม100 น้ำมังคุด โรคมะเร็ง
ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก บิม100 น้ำมังคุด โรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
มะเร็งโพรงจมูก เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อโพรงจมูกหรือพื้นที่ข้างหลังจมูกและโพรงอากาศเล็ก ๆ ข้างจมูก โหนกแก้มและหน้าผาก มะเร็งโพรงจมูกเกิดจากการเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติหรือมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเซลล์ ความเปลี่ยนแปลงนี้จะก่อให้เกิดเนื้อร้ายที่สามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ แต่บางครั้งการเซลล์ที่ผิดปกติก็ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายเสมอไป ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นแค่โรคริดสีดวงจมูกหรือเนื้องอกโพรงจมูกแทน โดยมะเร็งโพรงจมูกเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งหากพบก็จะมักพบได้ในผู้ชายอายุ 50-60 ปี
มะเร็งโพรงจมูก
อาการของมะเร็งโพรงจมูก
ผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกอาจไม่แสดงอาการตั้งแต่แรก ๆ เนื่องจากโพรงจมูกมีลักษณะค่อนข้างกว้างซึ่งเนื้องอกอาจขยายได้เรื่อย ๆ อาการอาจปรากฏออกมาเมื่อมะเร็งเจริญเติบโตไปรอบ ๆ หรือใหญ่จนปิดกั้นโพรงจมูกแล้ว อาการทั่วไปที่พบได้บ่อยคือคัดจมูกหรือน้ำมูกไหลข้างเดียวแม้ผู้ป่วยจะไม่ได้เป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้ อาการจะคงอยู่เป็นเวลานานและแย่ลงเรื่อย ๆ อาการอื่น ๆ ของมะเร็งโพรงจมูกค่อนข้างที่จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่ามะเร็งนั้นเริ่มมาจากส่วนไหน อาการอื่น ๆ มีดังนี้
เลือดกำเดาไหล
น้ำมูกไหลหรือระบายจากด้านหลังของจมูกเข้าไปในลำคอ
มีลักษณะของก้อนแข็งบนใบหน้า เพดานปากหรือภายในจมูก
ปวดหัวและปวดโพรงอากาศข้างจมูก
ปวดหรือรู้สึกหูอื้อข้างใดข้างหนึ่ง
ปวดบริเวณเหนือดวงตาหรือใต้ดวงตา
ตาแฉะมากจนน้ำตาไหลลงมาถึงแก้ม
ตาข้างใดข้างหนึ่งโป่งนูน
ชา ปวดและบวมบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะแก้มส่วนบน
มีปัญหาเวลาอ้าปาก
ฟันบนโยกหรือชา หรือความพอดีของการใส่ฟันปลอมแปลกไปจากเดิม
ลักษณะการพูดเปลี่ยนไปจากเดิม
ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรอบคอบวม
สูญเสียการได้ยินหรือการได้กลิ่น
สาเหตุของมะเร็งโพรงจมูก
มะเร็งโพรงจมูกเกิดจากการที่เซลล์ต่าง ๆ ในโพรงจมูกและโพรงอากาศข้างจมูกเกิดความผิดปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่การยืนยันแน่ชัดว่าสาเหตุของมะเร็งโพรงจมูกคืออะไร ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งโพรงจมูกได้มีหลายประการ เช่น การสัมผัสหรือสูดดมสารเคมีที่ส่งผลให้เซลล์พัฒนาเป็นมะเร็งได้ ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ได้รับการยืนยันทางข้อมูลว่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคมีดังนี้
ฝุ่นไม้หรือขี้เลื่อย
ฝุ่นหนัง
บุหรี่
ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์
สารประกอบนิกเกิล
มะเร็งโพรงจมูกอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่มีความเป็นไปได้เช่น
ฟอร์มาดีไฮด์
โครเมียม
ฝุ่นจากสิ่งทอ
การวินิจฉัยมะเร็งโพรงจมูก
การวินิจฉัยมะเร็งโพรงจมูกอาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน และอาจต้องวินิฉัยหลาย ๆ ครั้งเพื่อหาระยะและระดับความรุนแรงของมะเร็ง แพทย์อาจซักถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วยในเบื้องต้น หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็ง ผู้ป่วยอาจจะต้องถูกส่งไปพบผู้เชี่ยวชาญและทำการทดสอบเพื่อยืนยันการวินิจฉัยเพิ่มเติม
ดูแลสุขภาพมะเร็งเม็ดเลือดขาว บิม100 น้ำมังคุด โรคมะเร็ง
ดูแลสุขภาพมะเร็งเม็ดเลือดขาว บิม100 น้ำมังคุด โรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
มะเร็งเม็ดเลือดขาวสามารถแบ่งได้หลายแบบ ได้แก่ แบ่งตามระยะการเกิดโรค และแบ่งตามชนิดของเซลล์มะเร็ง
แบ่งตามระยะเวลาเกิด
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (acute leukemia) คือการที่เซลล์ตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว อาการของโรคจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (chronic leukemia) คือการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกผลิตออกมามากเกินไป ทำให้ผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ เนื่องจากความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยเป็นเวลานับปี แต่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือด
แบ่งตามชนิดของเซลล์มะเร็ง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอีโลจีนัส (myelogenous leukemia) เป็นชนิดของมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในสาย myeloid เติบโตผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซิติก (lymphocytic leukemia) เป็นชนิดของมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในสาย lymphoid
ทั้งนี้ การแบ่งชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะมีผลต่อการเลือกวิธีการรักษา เนื่องจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดมีการดำเนินโรคและการพยากรณ์โรคที่แตกต่างกัน
ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรค แต่ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ก็ส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การได้รับรังสีขนาดสูง เช่น รังสีนิวเคลียร์
การรับเคมีบำบัด เกิดจากการรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วยตัวยาเคมี เนื่องจากยาเคมีบำบัดบางกลุ่มอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การสัมผัสกับสารเคมีในสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมีในกลุ่มพวกเบนซีน และยาฆ่าแมลงบางชนิด
โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคดาวน์ซินโดรม
อายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ยิ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ผู้ป่วยโรคไขกระดูกเสื่อม (Myelodysplastic syndrome, MDS)
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดชนิดต่างๆ ทำให้เกิดอาการดังนี้
เม็ดเลือดแดงลดลง ผู้ป่วยอาจมีอาการจากภาวะโลหิตจาง เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น วิงเวียนศีรษะ
เม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
เกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีภาวะเลือดออกง่ายกว่าปกติ อาจพบจุดเลือดออกหรือจ้ำเลือดตามตัว รวมถึงภาวะเลือดหยุดยาก
นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลำพบก้อนตามตัวหรือปวดกระดูกได้
อาการโรคมะเร็งเต้านม บิม100 น้ำมังคุดช่วยบรรเทาโรคมะเร็ง
อาการโรคมะเร็งเต้านม บิม100 น้ำมังคุดช่วยบรรเทาโรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
มะเร็งเต้านม เป็นโรคมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติส่วนใดส่วนหนึ่งภายในเต้านมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะลุกลามไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นของร่างกาย มะเร็งชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่พบในเพศชายในอัตราที่น้อยมาก
มะเร็งเต้านม
ภายในเต้านมของผู้หญิงจะประกอบไปด้วยต่อมผลิตน้ำนม ท่อน้ำนม เนื้อเยื่อไขมัน ท่อน้ำเหลือง เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือดต่าง ๆ ซึ่งเซลล์มะเร็งส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกิดขึ้นบริเวณต่อมผลิตน้ำนม (Lobules) และท่อน้ำนม (Ducts) มากกว่าส่วนอื่น การก่อตัวของมะเร็งเต้านมสามารถเกิดขึ้นได้กับเซลล์ทุกส่วนภายในเต้านมในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากเซลล์ผิดปกติมีการแบ่งตัวมากขึ้นเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถควบคุมได้ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง ระบบน้ำเหลือง และสุดท้ายกระจายไปยังกระแสเลือด และไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
ระยะของมะเร็งเต้านม
ระยะความรุนแรงของโรคมะเร็งเต้านมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนเนื้อ การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปสู่ต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
ระยะ 0-1: พบเซลล์ผิดปกติภายในเนื้อเยื่อเต้านม และก้อนเนื้อมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร แต่ยังจำกัดการเกิดเฉพาะภายในเต้านม ซึ่งเป็นระยะที่ยังไม่พบการลุกลามของโรคไปยังส่วนอื่น สำหรับระยะนี้มีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี เกือบ 100%
ระยะ 2: ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้น และอาจแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองเฉพาะบริเวณรักแร้ แต่จำนวนไม่กี่ต่อม หรืออาจไม่พบก้อนเนื้อ แต่พบเซลล์มะเร็งบริเวณต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ ซึ่งมีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 93%
ระยะ 3: เนื้อเยื่อเต้านมถูกมะเร็งทำลายเป็นบริเวณกว้างขึ้น ก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้นมากกว่า 5 เซนติเมตร มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้และต่อมน้ำเหลืองอื่นในบริเวณใกล้เคียงเต้านม หรือก้อนเนื้อขยายใหญ่ขึ้นไม่เกิน 5 เซนติเมตร และมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองจำนวนมากขึ้น โดยอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปีของระยะนี้อยู่ที่ประมาณ 72%
ระยะ 4: โรคมีการแพร่กระจายเข้าหลอดเลือดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ตับ สมอง ปอด กระดูก ซึ่งเป็นระยะที่รักษาไม่หายขาด และมีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 22%
สำหรับในประเทศไทย โรคมะเร็งเต้านมได้กลายมาเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในเพศหญิง จากเดิมที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็งปากมดลูก โดยรายงานล่าสุดจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปี 2557 จำนวนผู้ป่วยในทะเบียนรักษาโรคมะเร็งทั้งสิ้น 14,966 ราย โดยเป็นผู้ป่วยเพศชาย 162 ราย และผู้ป่วยเพศหญิง 14,804 ราย หรือนับเป็น 0.51 ราย และ 44.42 ราย ต่อประชากรไทย 100,000 คน ตามลำดับ ซึ่งคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น จะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ผู้ป่วยหายขาดได้มากขึ้น
อาการของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมในระยะแรกแทบไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยการคลำพบก้อนเนื้อในเต้านมหรือบริเวณรักแร้มากที่สุด อาการอื่น ๆ อาจสังเกตได้จากขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หัวนมบุ๋ม เป็นแผล อาจมีน้ำเหลืองหรือของเหลวสีคล้ายเลือดไหลออกมาหรือเป็นผื่นบริเวณหัวนม
สาเหตุของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเพศหญิง ทั้งจากสภาพแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมการใช้ชีวิต อายุที่มากขึ้น ผู้หญิงที่ไม่มีบุตร หรือมีช่วงระยะของการมีประจำเดือนนาน และอีกหลายปัจจัย ทั้งนี้บางปัจจัยสามารถแก้ไขได้ แต่บางปัจจัยไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือเชื้อชาติ เป็นต้น
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพมะเร็งต่อมไทรอยด์
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ดูแลสุขภาพมะเร็งต่อมไทรอยด์
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
มะเร็งไทรอยด์ (Thyroid Cancer) เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในต่อมไทรอยด์ และพัฒนาเป็นก้อนมะเร็งขึ้นใต้ผิวหนังบริเวณกึ่งกลางลำคอ อาจพบก้อนเดียวหรือหลายก้อน โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเสียงแหบ หายใจหรือกลืนลำบาก และเจ็บที่ลำคอ หากรักษาและกำจัดเซลล์มะเร็งออกไม่หมด อาจเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำหรือมะเร็งอาจลุกลามไปสร้างความเสียหายให้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้
ไทรอยด์เป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายผีเสื้ออยู่บริเวณใต้ลูกกระเดือก ทำหน้าที่นำสารไอโอดีนจากอาหารที่รับประทานไปผลิตฮอร์โมนไทรอยด์และฮอร์โมนอื่น ๆ เพื่อช่วยในกระบวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ และระบบการเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งมะเร็งไทรอยด์อาจทำให้ต่อมไทรอยด์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของผู้ป่วย
มะเร็งไทรอยด์อาจแบ่งตามลักษณะของเซลล์มะเร็งได้ดังนี้
มะเร็งไทรอยด์ชนิดพาพิลลารี่ (Papillary Thyroid Cancer) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยและมีความรุนแรงน้อยที่สุด เกิดขึ้นที่เซลล์ต่อมไทรอยด์ชนิดฟอลลิคูลาร์ (Follicular Cell) ซึ่งเซลล์มะเร็งจะมีลักษณะคล้ายเซลล์ปกติ เจริญเติบโตช้า เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่มักเกิดขึ้นกับหญิงวัยเจริญพันธุ์ หรือผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี
มะเร็งไทรอยด์ชนิดฟอลลิคูลาร์ (Follicular Thyroid Cancer) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยรองจากชนิดพาพิลลารี่ โดยเกิดขึ้นที่เซลล์ต่อมไทรอยด์ชนิดฟอลลิคูลาร์เช่นเดียวกัน และมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
มะเร็งไทรอยด์ชนิดเมดัลลารี (Medullary Thyroid Cancer) ถือว่าเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งเกิดขึ้นที่เซลล์ต่อมไทรอยด์ชนิดซีเซลล์ (C Cell) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) และเมื่อตรวจพบระดับฮอร์โมนแคลซิโทนินในเลือดสูงขึ้น ก็อาจบ่งชี้ถึงมะเร็งไทรอยด์ชนิดนี้ในระยะแรกเริ่มได้
มะเร็งไทรอยด์ชนิดอะนาพลาสติก (Anaplastic Thyroid Cancer) เป็นชนิดที่พบได้ไม่บ่อยนัก โดยเซลล์มะเร็งชนิดนี้จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รักษาได้ยาก และมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของต่อมไทรอยด์ (Thyroid Lymphoma) เป็นอีกหนึ่งชนิดที่พบได้ยากและมักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ โดยเกิดความผิดปกติขึ้นที่เซลล์ภูมิคุ้มกันในต่อมไทรอยด์ และเซลล์เนื้อร้ายมักเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
สาเหตุของมะเร็งไทรอยด์
มะเร็งไทรอยด์เป็นการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรมในต่อมไทรอยด์ที่ทำให้เซลล์ต่าง ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ และทำให้เกิดก้อนเนื้อมะเร็งขึ้นในที่สุด ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่ามะเร็งไทรอยด์เกิดจากสาเหตุใด แต่มีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งไทรอยด์
อาการของมะเร็งไทรอยด์
มะเร็งไทรอยด์ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา แต่เมื่อเซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้น ผู้ป่วยอาจคลำพบก้อนนูนใต้ผิวหนังบริเวณกึ่งกลางลำคอ ซึ่งอาจพบเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อนก็ได้ และอาจพบอาการป่วยอื่น ๆ ร่วมด้วย
ปัญหาสุขภาพมะเร็ง BIM100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง
ปัญหาสุขภาพมะเร็ง BIM100 น้ำมังคุด ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
สาเหตุและปัจจัย เสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ
1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือ ภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่
1.1 สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า
1.2 รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดด
1.3 เชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา
1.4 การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ
1.5 จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น
2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกัน ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมี ความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิด มะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวด ล้อมแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ ทราบว่า ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่ม อื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี
ปัจจัย เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ที่ สำคัญ มี 2 ข้อ
ข้อ แรก คือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อน ในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค เป็นต้น รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และพยาธิบางชนิด
ข้อที่สอง คือ ได้แก่ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะทุพโภชนา เป็นต้น
ผู้ ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็น โรคมะเร็ง มีดังนี้
1. ผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของระบบหายใจ ได้แก่ ปอด และกล่องเสียง เป็นต้น
2. ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ ถ้าทั้งดื่มสุราและสูบบุหรี่จัด จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ช่องปากและในลำคอด้วย
3. ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มี สารพิษ ชื่อ อัลฟาทอกซิล ที่พบจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารเช่น ถั่วลิสงป่น เป็นต้น หากรับประทานประจำจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และหากได้รับทั้ง 2 อย่าง โอกาส จะเป็นมะเร็งตับมากขึ้น
4. ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก และต่อมลูกหมาก
5. ผู้ที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และรับประทานอาหารที่ใส่ดิน ประสิวเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
6. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอันเกิดจากความผิดปกติจากพันธุกรรมหรือติดเชื้อไวรัส เอดส์ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งของหลอดเลือด เป็นต้น
7. ผู้ที่รับประทานอาหารเค็ม จัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและส่วนไหม้เกรียม ของอาหารเป็นประจำจะเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ อาหารและลำไส้ใหญ่
8. ผู้ที่มีประวัติโรคมะเร็งในครอบครัว อาทิ มะเร็งของจอตา มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดที่ เป็นติ่งเนื้อ เป็นต้น
9. ผู้ที่ตากแดดจัดเป็นประจำจะ ได้รับอันตรายจากแสงแดดที่ มีปริมาณของแสงอุลตรา ไวโอเลต จำนวนมาก มีผลทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล ดูแลอาการโรคมะเร็ง
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด สร้างภูมิสมดุล ดูแลอาการโรคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
โรคมะเร็งเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย และมีรายละเอียดของโรคแตกต่างกันบ้างในบางอวัยวะ วิธีการรักษาอาจใช้เพียงวิธีการเดียวหรือหลายวิธีการร่วมกัน ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นโรค ระยะโรค และสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย
โรคมะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตหรือการตายตามธรรมชาติของเซลล์ปรกติได้ (มีความผิดปรกติของพันธุกรรม ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งตัวและ/หรือการตายของเซลล์ปรกติ) ทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ เจริญเติบโตอย่างผิดปรกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ เกิดเป็นก้อนเนื้อ แผลลุกลาม และแพร่กระจายไปทั่วร่างกายและเข้าทำลายอวัยวะต่างๆ ดังนั้น ก้อน/แผลมะเร็ง คือก้อนเนื้อ/แผล ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถหายได้ด้วยการรักษาตามปรกติ ก้อน/แผลจะโตขึ้นเรื่อยๆ โตเร็ว ลุกลามทำลายเนื้อเยื่อ/อวัยวะต้นกำเนิดและเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง ในที่สุดก็แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด กระแสน้ำเหลือง แพร่กระจายไปทุกๆอวัยวะ และทุกๆต่อมน้ำเหลือง ทำลายอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ทำให้เกิดการล้มเหลวของอวัยวะนั้นๆ อวัยวะมักเกิดอาการและตรวจพบได้บ่อยคือ ปอด ตับ กระดูก ไขกระดูก สมอง และต่อมน้ำเหลือง ด้วยเหตุนี้โรคมะเร็งจึงเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต จากการล้มเหลวในการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ ได้แก่ ไขกระดูก ปอด ตับ ไต และสมอง
ส่วนเนื้องอก/แผลธรรมดา (ไม่ใช่มะเร็ง) เป็นเนื้องอกที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปรกติของเซลล์ แต่ร่างกายยังควบคุมการเจริญเติบโตได้ ก้อนเนื้อที่ไม่ใช่มะเร็งจะโตช้า แต่เมื่อนานไปแล้วมีขนาดก้อนเนื้อโตมากขึ้น อาจกด/เบียดทับเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียงได้ แต่ไม่ลุกลามเข้าทำลาย ไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ไม่แพร่กระจายเข้ากระแสเลือดและ/หรือกระแสน้ำเหลือง จึงไม่เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสัยชีวิต
ผู้ ที่มีความเสี่ยงต่อการ เป็นโรคมะเร็ง มีดังนี้
1. ผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของระบบหายใจ ได้แก่ ปอด และกล่องเสียง เป็นต้น
2. ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ตับ ถ้าทั้งดื่มสุราและสูบบุหรี่จัด จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ช่องปากและในลำคอด้วย
3. ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มี สารพิษ ชื่อ อัลฟาทอกซิล ที่พบจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารเช่น ถั่วลิสงป่น เป็นต้น หากรับประทานประจำจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และหากได้รับทั้ง 2 อย่าง โอกาส จะเป็นมะเร็งตับมากขึ้น
4. ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก และต่อมลูกหมาก
5. ผู้ที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และรับประทานอาหารที่ใส่ดิน ประสิวเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
6. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอันเกิดจากความผิดปกติจากพันธุกรรมหรือติดเชื้อไวรัส เอดส์ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งของหลอดเลือด เป็นต้น
7. ผู้ที่รับประทานอาหารเค็ม จัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและส่วนไหม้เกรียม ของอาหารเป็นประจำจะเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ อาหารและลำไส้ใหญ่
8. ผู้ที่มีประวัติโรคมะเร็งในครอบครัว อาทิ มะเร็งของจอตา มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดที่ เป็นติ่งเนื้อ เป็นต้น
9. ผู้ที่ตากแดดจัดเป็นประจำจะ ได้รับอันตรายจากแสงแดดที่ มีปริมาณของแสงอุลตรา ไวโอเลต จำนวนมาก มีผลทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้
น้ำมังคุดช่วยดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง บิม100 สร้างภูมิสมดุล
น้ำมังคุดช่วยดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง บิม100 สร้างภูมิสมดุล
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
โรคมะเร็ง ภัยใกล้ตัวสุดอันตรายที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง
1. มีก้อนเนื้อเกิดขึ้นในร่างกาย
การที่ร่างกายของเรามีก้อนเนื้อแปลกปลอมเกิดขึ้น นั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งได้ เช่นมะเร็งเต้านมในผู้หญิงเป็นต้น คนที่มีก้อนเนื้อแปลกปลอมส่วนใหญ่ถึง 77% ไม่คิดว่าก้อนเนื้อเหล่านั้นเป็นสัญญาณอันตรายของโรคที่ร้ายแรง ซึ่งนั่นทำให้กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งก็สายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นหากคลำเจอก้อนเนื้อแปลกปลอม ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยละเอียดจะดีกว่านะ
2. อาการไอ และเสียงแหบแห้ง
เวลาคนเราเป็นไข้หวัดก็มักจะมีอาการไอร่วมด้วยอยู่เสมอ แต่ถ้าหากคุณหายจากอาการไข้หวัดแล้วยังคงไออยู่ตลอดไม่หายเสียทีละก็ ก็อาจจะเป็นสัญญาณของมะเร็งปอด มะเร็งในต่อมไทรอยด์ หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้เช่นกัน โดยอาการอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลานั้นเป็นสัญญาณหนึ่งที่สำคัญแต่คนเรากลับละเลย และคิดว่าที่ไอนั้นเป็นเพราะสาเหตุอื่น ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าหากคุณมีอาการไอติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ควรจะไปพบแพทย์จะดีกว่า จะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงค่ะ
3. ความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จะส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารเกิดความผิดปกติ รวมทั้งระบบขับถ่ายก็จะผิดปกติตามไปด้วย ดังนั้นถ้าหากคุณรู้สึกว่าอาหารไม่ย่อยบ่อย ๆ หรือแม้แต่เกิดอาการท้องผูกที่รุนแรงละก็ ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าอาการเหล่านั้นไม่ใช้สัญญาณของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะได้ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลกันทีหลัง
4. ความผิดปกติในกระเพาะปัสสาวะ
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นสิ่งที่พบได้อยู่เสมอ ซึ่งโดยทั่วไปไม่อันตราย แต่ถ้าหากเริ่มมีเลือดปะปนออกมาในปัสสาวะ ก็อย่าชะล่าใจไปนะ เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ละเลยภาวะเลือดออกในปัสสาวะ และมาพบที่หลังว่าตนเองเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งในไต หรือต่อมลูกหมาก ดังนั้นอย่ามัวแต่คิดว่าการมีเลือดออกมาปะปนในปัสสาวะ หรือการที่รู้สึกเจ็บเวลาที่ปัสสาวะจะเป็นเพียงแค่การติดเชื้อ ไปตรวจให้แน่ใจดีกว่าเนอะ
5. อาการปวดแบบไร้สาเหตุ
อาการปวดบางชนิดที่เรื้อรัง อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอย่างมะเร็งได้ อาทิ มะเร็งกระดูกหรือมะเร็งรังไข่ โดยสมาคมโรคมะเร็งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยว่าอาการปวดนั้นคือสัญญาณที่บ่งบอกถึงการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง ซึ่งในการศึกษาหนึ่งพบว่ามีคนเพียง 40 % เท่านั้นที่เมื่อเกิดอาการปวดเรื้อรังแล้วจะไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยให้แน่นอน
6. เจ็บคอเรื้อรัง
อาการเจ็บคอเรื้อรัง เป็นหนึ่งในสัญญาณที่คนมักจะละเลยและคิดว่าเกิดจากอาการไข้หวัดธรรมดาทั่วไป ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วอาการเจ็บคอเรื้อรัง อาจจะเป็นสัญญาณที่สำคัญของโรคมะเร็งกล่องเสียงหรือมะเร็งในลำคอได้ โดยมีการศึกษาพบว่า 78% ของอาสาสมัครที่เข้าร่วมในงานวิจัย ไม่คิดว่าอาการเจ็บคอเป็นสัญญาณอันตรายใด ๆ และไม่คิดจะพบแพทย์ ซึ่งความชะล่าใจแบบนี้ล่ะค่ะที่ทำให้บางรายไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ทันกาล ฉะนั้นอย่าวางใจกับอาการเจ็บคอเรื้อรังเป็นอันขาดเลยนะ
7. น้ำหนักลดโดยไร้สาเหตุ
สมาคมโรคมะเร็งอเมริกันเปิดเผยว่าการที่น้ำหนักลดลงแบบไร้สาเหตุมากกว่า 5 กิโลกรัมขึ้นไปนั้น เป็นสัญญาณที่สำคัญอันดับแรก ๆ ของโรคมะเร็งหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งปอด หรือโรคมะเร็งในหลอดอาหาร ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะละเลยและคิดว่าอาจจะเป็นโรคอื่นมากกว่า ไม่ก็ดีใจที่น้ำหนักลด ซึ่งจริง ๆ การที่น้ำหนักลดแบบไร้สาเหตุอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง ถ้าไม่อยากให้อาการป่วยสายเกินแก้ หากน้ำหนักลดเร็วและมากเกินไป ควรจะรีบไปพบแพทย์ดีกว่าค่ะ
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ช่วย ดูแลสุขภาพโรคมะเร็ง
บิม100 อาหารเสริมน้ำมังคุด ช่วย ดูแลสุขภาพโรคคมะเร็ง
สอบถามเพิ่มเติม
http://www.bim100foryou.com/
โทร. 094-709-4444 , 088-826-4444 , 089-071-8889 , 094-435-0404
ไลน์ : @jumbolife (มี@ข้างหน้าด้วยนะคะ)หรือคลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40jumbolife
โรคมะเร็งเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย และมีรายละเอียดของโรคแตกต่างกันบ้างในบางอวัยวะ วิธีการรักษาอาจใช้เพียงวิธีการเดียวหรือหลายวิธีการร่วมกัน ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นโรค ระยะโรค และสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย
โรคมะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตหรือการตายตามธรรมชาติของเซลล์ปรกติได้ (มีความผิดปรกติของพันธุกรรม ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งตัวและ/หรือการตายของเซลล์ปรกติ) ทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ เจริญเติบโตอย่างผิดปรกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ เกิดเป็นก้อนเนื้อ แผลลุกลาม และแพร่กระจายไปทั่วร่างกายและเข้าทำลายอวัยวะต่างๆ ดังนั้น ก้อน/แผลมะเร็ง คือก้อนเนื้อ/แผล ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถหายได้ด้วยการรักษาตามปรกติ ก้อน/แผลจะโตขึ้นเรื่อยๆ โตเร็ว ลุกลามทำลายเนื้อเยื่อ/อวัยวะต้นกำเนิดและเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง ในที่สุดก็แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด กระแสน้ำเหลือง แพร่กระจายไปทุกๆอวัยวะ และทุกๆต่อมน้ำเหลือง ทำลายอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ทำให้เกิดการล้มเหลวของอวัยวะนั้นๆ อวัยวะมักเกิดอาการและตรวจพบได้บ่อยคือ ปอด ตับ กระดูก ไขกระดูก สมอง และต่อมน้ำเหลือง ด้วยเหตุนี้โรคมะเร็งจึงเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต จากการล้มเหลวในการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ ได้แก่ ไขกระดูก ปอด ตับ ไต และสมอง
ส่วนเนื้องอก/แผลธรรมดา (ไม่ใช่มะเร็ง) เป็นเนื้องอกที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปรกติของเซลล์ แต่ร่างกายยังควบคุมการเจริญเติบโตได้ ก้อนเนื้อที่ไม่ใช่มะเร็งจะโตช้า แต่เมื่อนานไปแล้วมีขนาดก้อนเนื้อโตมากขึ้น อาจกด/เบียดทับเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียงได้ แต่ไม่ลุกลามเข้าทำลาย ไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ไม่แพร่กระจายเข้ากระแสเลือดและ/หรือกระแสน้ำเหลือง จึงไม่เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสัยชีวิต
สาเหตุของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ
1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือ ภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่
1.1 สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า
1.2 รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดด
1.3 เชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา
1.4 การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ
1.5 จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น
2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกัน ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมี ความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิด มะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวด ล้อมแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ ทราบว่า ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่ม อื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)